xs
xsm
sm
md
lg

รัสเซียยิง “จรวดร่อน” จากเรือดำน้ำเข้าถล่ม IS “ปูติน” สั่งเชิญต่างชาติร่วมสอบกล่องดำเครื่องบินที่ถูกตุรกียิงตก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ภาพถ่ายจากคลิปวิดีโอเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (8ธ.ค.)ทางเฟซบุ๊กของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย แสดงให้เห็นเรือดำน้ำ “รอสตอฟ-ออน-ดอน” กำลังยิง “จรวดร่อน” จากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เอเจนซีส์ - รัสเซียยิง “จรวดร่อน” จากเรือดำน้ำเข้าถล่มเป้าหมายไอเอสในซีเรียครั้งแรกเมื่อวันอังคาร (8 ธ.ค.) ขณะเดียวกัน “ปูติน” สั่งให้เชิญผู้เชี่ยวชาญต่างชาติร่วมวิเคราะห์กล่องดำเครื่องบินรบที่ถูกตุรกีสอยร่วงเมื่อเดือนที่แล้ว พร้อมกันนี้ มอสโกงพยายามเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นหารือ กรณีตุรกีส่งทหารเข้าอิรักโดยพลการ ถึงแม้ทางการแบกแดดเองกลับแสดงท่าทีอ่อนลง โดยบอกว่า กำลังเจรจาด้วยดีกับอังการา

เซียร์เกย์ ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย รายงานต่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ในวันอังคาร โดยที่มีการถ่ายทอดออกอากาศทางโทรทัศน์ของทางการว่า เรือดำน้ำ “รอสตออฟ-ออน-ดอน” ประสบความสำเร็จในการยิงจรวดร่อน “คาลิบร์” จากใต้น้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โจมตีเป้าหมายกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในจังหวัดร็อกเกาะห์ของซีเรีย

ด้านประมุขวังเครมลินตั้งข้อสังเกตว่า จรวดร่อนรุ่นใหม่นี้สามารถติดตั้งทั้งหัวรบปกติและหัวรบนิวเคลียร์ แต่หวังว่ารัสเซียจะไม่จำเป็นต้องใช้หัวรบนิวเคลียร์

ชอยกูเสริมด้วยว่า เครื่องบินทิ้งระเบิดทียู-22 ก็ได้บินจากฐานทัพในรัสเซียไปร่วมโจมตีไอเอสถึง 60 เที่ยวในรอบ 3 วันที่ผ่านมา และว่า การโจมตีระลอกล่าสุดทำลายคลังอาวุธ โรงงานผลิตกระสุนปืนครกและหน่วยผลิตน้ำมันของผู้ก่อการร้าย

รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียยังบอกว่า ได้แจ้งอิสราเอลและอเมริกาเกี่ยวกับการโจมตีทางอากาศเหล่านี้ล่วงหน้า ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ที่ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งของอเมริกา

เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเผยว่า จรวดร่อนอย่างน้อย 10 ลูกถูกยิงจากเรือรบของรัสเซียในทะเลแคสเปียน และอย่างน้อย 1 ลูกจากเรือดำน้ำของรัสเซียในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้านตะวันออก

ชอยกูยังรายงานต่อปูตินว่า กองทัพซีเรียสามารถยึดคืนพื้นที่ใกล้ชายแดนติดกับตุรกีที่เครื่องบินของรัสเซียถูกยิงตกเมื่อวันที่ 24 เดือนที่ผ่านมา พร้อมทั้งนำอุปกรณ์บันทึกการบิน (กล่องดำ) ของเครื่องบินลำดังกล่าวที่กองกำลังซีเรียและรัสเซียค้นพบจากที่เกิดเหตุมาแสดงต่อปูติน

ผู้นำรัสเซียสั่งให้เชิญผู้เชี่ยวชาญต่างชาติร่วมวิเคราะห์ข้อมูลในอุปกรณ์ดังกล่าว ซึ่งจะเปิดเผยเส้นทางบินของเครื่องบินที่ถูกยิงตก อย่างไรก็ดี ปูตินย้ำว่า ไม่ว่าผลการวิเคราะห์จะออกมาเช่นใด ทัศนคติของรัสเซียต่อการแทงข้างหลังของตุรกีจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกกับอังการาร้าวฉานอย่างหนัก โดยตุรกียืนยันว่า เครื่องบินรบของรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้านาน 17 วินาทีและได้เตือนหลายครั้งก่อนยิง ขณะที่รัสเซียยืนยันว่า เครื่องบินอยู่ในซีเรีย และตอบโต้ด้วยการติดตั้งระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะไกลที่ฐานทัพอากาศในซีเรีย รวมทั้งประกาศมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อตุรกี

ขณะเดียวกัน มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ออกมาแถลงปฏิเสธการร้องเรียนของตุรกีเกี่ยวกับภาพลูกเรือรัสเซียยกเครื่องยิงจรวดประทับบ่าในท่าตั้งเล็งพร้อมยิง ในระหว่างที่เรือรบลำหนึ่งของรัสเซียกำลังผ่านช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งตุรกีถือว่า เป็นการยั่วยุ ทว่า ซาคาโรวาตอบโต้ว่า ลูกเรือรัสเซียมีสิทธิ์ในการปกป้องเรือ และการกระทำดังกล่าวก็ไม่ได้ละเมิดอนุสัญญามองโทรซ์ ซึ่งกำหนดกฎการใช้ช่องแคบดังกล่าวของตุรกีแต่อย่างใด

นอกจากนั้น กระทรวงการต่างประเทศแดนหมีขาวยังแสดงความกังวัลเกี่ยวกับรายงานที่ว่า มีการทิ้งระเบิดใส่ค่ายทหารของซีเรียในเมืองแดร์ เอล-ซูร์ทางตะวันออก โดยระบุว่า สาเหตุมาจากการที่กองกำลังพันธมิตรที่นำโดยอเมริกา ลังเลที่จะประสานงานกับดามัสกัสเกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตีไอเอสในซีเรีย

ทั้งนี้ ทางการซีเรียกล่าวหาว่า เครื่องบินของกองกำลังพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ โจมตีค่ายทหารดังกล่าวเมื่อคืนวันอาทิตย์ (6) ทำให้ทหารซีเรียเสียชีวิต 3 นายและบาดเจ็บ 13 นาย ทว่า เจ้าหน้าที่อาวุโสในกองทัพอเมริกันคนหนึ่งยืนยันว่า เป็นฝีมือของเครื่องบินรัสเซีย

กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียไม่ได้พาดพิงถึงการกล่าวหาของเจ้าหน้าที่อเมริกัน แต่ยกตัวอย่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโจมตีของกองกำลังพันธมิตรในจังหวัดฮาสซากีของซีเรียที่มีพลเรือนเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สถานการณ์การสู้รบกับไอเอสในซีเรียและอิรักตึงเครียดอย่างมาก และยิ่งตึงเครียดหนักขึ้นจากกรณีที่ตุรกีส่งกำลังเข้าไปในฐานปฏิบัติการใกล้เมืองโมซูล ในอิรัก โดยไม่ได้ขออนุญาตจากแบกแดด

รัสเซียนั้นกำลังผลักดันให้ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ถึงคิวอเมริกาเป็นประธาน หารือเรื่องดังกล่าวอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันอังคาร วิทาลี เชอร์กิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำยูเอ็น ยังประณามที่อเมริกาและชาติตะวันตกอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกคณะมนตรีฯ ปฏิเสธที่จะเรียกตุรกีไปหารืออย่างเป็นทางการ หรือยืนยันอธิปไตยของอิรัก

เชอร์กินสำทับว่า ความเคลื่อนไหวโดยพลการของตุรกีสะท้อนการขาดความชอบธรรมในปฏิบัติการของกองกำลังพันธมิตรที่นำโดยอเมริกา

ทว่า เอกอัครราชทูตอิรักประจำยูเอ็น โมฮัมเหม็ด อาลี อัลคาฮิม กลับย้ำว่า แบกแดดกำลังหารือเรื่องดังกล่าวแบบทวิภาคีกับตุรกี และการเจรจาเป็นไปด้วยดี ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับท่าทีขึงขังเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่สำนักนายกรัฐมนตรีอิรักยื่นคำขาดให้ตุรกีถอนกำลังออกไปภายใน 48 ชั่วโมง

ทางด้านซาแมนทา เพาเวอร์ เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำยูเอ็น แสดงความเห็นว่า ตุรกีควรเจรจาเกี่ยวกับการนำกำลังทหารเข้าสู่อิรักกับรัฐบาลแบกแดด และโฆษกของยูเอ็น ฟาร์ฮัน ฮัก เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาอย่างสร้างสรรค์


กำลังโหลดความคิดเห็น