เอเอฟพี - ออสเตรเลียระบุในวันพุธ (4 พ.ย.) ว่ากำลังมุ่งมั่นที่จะปิดช่องทางของเงินทุนสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย โดยที่หน่วยงานต่อต้านการฟอกเงินสามารถตามรอยธุรกรรมทางการเงินต้องสงสัยได้ถึง 53 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
หน่วยงานออสแทรคของรัฐบาลจิงโจ้ ระบุว่า ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2014 - มิถุนายน 2015 ได้สังเกตการณ์ผู้คนกว่า 100 รายที่น่าสนใจ รวมถึงสืบสวนธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัย 536 ครั้ง รวมมูลค่า 53 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธในอิรักและซีเรีย
"100 คนนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่เราเป็นกังวลว่าให้การสนับสนุนกลุ่มไอเอส มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้นที่เรากังวล แต่อาจจะมีชาวออสเตรเลียคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชักชวนคน" ไมเคิล คีแนน รัฐมนตรียุติธรรม บอกนักข่าวในกรุงแคนเบอร์รา
ทั้งนี้ ออสเตรเลียมีความกังวลเพิ่มมากขึ้น เรื่องที่พลเมืองของตนเดินทางไปยังพื้นที่สู้รบในตะวันออกกลาง เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธ
รัฐบาลออสเตรเลียประเมินว่า มีชาวออสซีประมาณ 120 รายอยู่ในอิรักและซีเรียเพื่อให้การสนับสนุนกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) กับกลุ่มอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับก่อการร้าย นอกจากนี้ยังมีอีกราว 160 รายที่คอยสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้อยู่ที่ประเทศบ้านเกิด คอยช่วยด้านการเงินและชักชวนผู้คน
นอกจากนี้ ออสเตรเลียยังกังวลเรื่องการโจมตีจากพวกหัวรุนแรงในประเทศ จึงได้เพิ่มการเตือนภัยก่อการร้ายไว้ที่ระดับสูง พร้อมทั้งนำเสนอกฏหมายความมั่นคงฉบับใหม่ รวมถึงใช้ปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้นเพื่อต่อต้านก่อการร้ายไปแล้วหลายครั้ง
รัฐบาลจิงโจ้ยังมีแผนจะทำให้กฏหมายเข้มงวดมากขึ้นเพื่อจำกัดความเคลื่อนไหวของเยาวชนอายุเกิน 14 ปี หลังจากมีเหตุการณ์วัยรุ่นชายวัย 15 ปียิงตำรวจเสียชีวิตเมื่อต้นเดือนตุลาคม
ออสแทรคได้เตือนว่า ธุรกรรมทางการเงินจำนวน 53 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียดังกล่าว ไม่ได้ถูกใช้เป็นเงินทุนก่อการร้ายโดยตรงทั้งหมด บางรายการก็ปะปนไปกับธุรกรรมทางการเงินที่ถูกกฏหมาย
อย่างไรก็ตาม มันก็แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเงินจำนวนมากกับบรรดาผู้คนที่ไปต่างแดน โดยทางออสแทรคระบุด้วยว่า ธุรกรรมทางการเงินเหล่านี้มีประมาณ 11 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียที่เป็นเงินสด
"ตอนนี้ปริมาณเงินทุนหนุนก่อการร้ายที่ดำเนินการจัดหากันในออสเตรเลียนั้นมีความเชื่อมโยงกับชาวออสเตรเลียจำนวนหนึ่งที่เดินทางไปร่วมกลุ่มก่อการร้ายในซีเรียและอิรัก ชาวออสเตรเลียเดินทางไปสู้รบในภูมิภาคนั้นอาจใช้เงินทุนสนับสนุนกิจกรรมของพวกเขาเอง หรือไม่ก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากชาวออสเตรเลียที่มีแนวคิดเดียวกัน" ออสแทรค ระบุในรายงานประจำปีที่นำเสนอต่อรัฐสภาในวันอังคาร
หน่วยงานออสแทรคของรัฐบาลจิงโจ้ ระบุว่า ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2014 - มิถุนายน 2015 ได้สังเกตการณ์ผู้คนกว่า 100 รายที่น่าสนใจ รวมถึงสืบสวนธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัย 536 ครั้ง รวมมูลค่า 53 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธในอิรักและซีเรีย
"100 คนนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่เราเป็นกังวลว่าให้การสนับสนุนกลุ่มไอเอส มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้นที่เรากังวล แต่อาจจะมีชาวออสเตรเลียคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชักชวนคน" ไมเคิล คีแนน รัฐมนตรียุติธรรม บอกนักข่าวในกรุงแคนเบอร์รา
ทั้งนี้ ออสเตรเลียมีความกังวลเพิ่มมากขึ้น เรื่องที่พลเมืองของตนเดินทางไปยังพื้นที่สู้รบในตะวันออกกลาง เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธ
รัฐบาลออสเตรเลียประเมินว่า มีชาวออสซีประมาณ 120 รายอยู่ในอิรักและซีเรียเพื่อให้การสนับสนุนกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) กับกลุ่มอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับก่อการร้าย นอกจากนี้ยังมีอีกราว 160 รายที่คอยสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้อยู่ที่ประเทศบ้านเกิด คอยช่วยด้านการเงินและชักชวนผู้คน
นอกจากนี้ ออสเตรเลียยังกังวลเรื่องการโจมตีจากพวกหัวรุนแรงในประเทศ จึงได้เพิ่มการเตือนภัยก่อการร้ายไว้ที่ระดับสูง พร้อมทั้งนำเสนอกฏหมายความมั่นคงฉบับใหม่ รวมถึงใช้ปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้นเพื่อต่อต้านก่อการร้ายไปแล้วหลายครั้ง
รัฐบาลจิงโจ้ยังมีแผนจะทำให้กฏหมายเข้มงวดมากขึ้นเพื่อจำกัดความเคลื่อนไหวของเยาวชนอายุเกิน 14 ปี หลังจากมีเหตุการณ์วัยรุ่นชายวัย 15 ปียิงตำรวจเสียชีวิตเมื่อต้นเดือนตุลาคม
ออสแทรคได้เตือนว่า ธุรกรรมทางการเงินจำนวน 53 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียดังกล่าว ไม่ได้ถูกใช้เป็นเงินทุนก่อการร้ายโดยตรงทั้งหมด บางรายการก็ปะปนไปกับธุรกรรมทางการเงินที่ถูกกฏหมาย
อย่างไรก็ตาม มันก็แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเงินจำนวนมากกับบรรดาผู้คนที่ไปต่างแดน โดยทางออสแทรคระบุด้วยว่า ธุรกรรมทางการเงินเหล่านี้มีประมาณ 11 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียที่เป็นเงินสด
"ตอนนี้ปริมาณเงินทุนหนุนก่อการร้ายที่ดำเนินการจัดหากันในออสเตรเลียนั้นมีความเชื่อมโยงกับชาวออสเตรเลียจำนวนหนึ่งที่เดินทางไปร่วมกลุ่มก่อการร้ายในซีเรียและอิรัก ชาวออสเตรเลียเดินทางไปสู้รบในภูมิภาคนั้นอาจใช้เงินทุนสนับสนุนกิจกรรมของพวกเขาเอง หรือไม่ก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากชาวออสเตรเลียที่มีแนวคิดเดียวกัน" ออสแทรค ระบุในรายงานประจำปีที่นำเสนอต่อรัฐสภาในวันอังคาร
