อ้างดาวเทียมสหรัฐฯ พบแสงร้อนวาบก่อนเครื่องบินรัสเซียโหม่งโลก

เอเอฟพี/รอยเตอร์ - สื่อมวลชนสหรัฐฯรายงานในวันอังคาร (3 พ.ย.) อ้างดาวเทียมทหารอเมริกาตรวจพบแสงร้อนวาบบนท้องฟ้าเหนือคาบสมุทรไซนายในช่วงเวลาที่เครื่องบินโดยสารของสายการบินรัสเซียโหม่งโลกคร่าชีวิตยกลำ 224 ศพ ตอกย้ำข้อสันนิษฐานที่ว่ามันอาจระเบิดกลางเวหาก่อนร่วงสู่พื้น

เครื่องบินแอร์บัส 321 ดิ่งลงสู่พื้นโลกเมื่อวันเสาร์ (31 ต.ค.) ราว 23 นาทีหลังเทกออฟออกจากเมืองชาร์ม เอล-ชีค ดินแดนตากอากาศริมทะเลแดงของอียิปต์ เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซีย

ผู้เชี่ยวชาญหลายรายชี้ว่า ข้อเท็จจริงที่เศษเครื่องบินและศพผู้เสียชีวิตหล่นสู่พื้นเป็นบริเวณกว้างมาก ชี้ให้เห็นว่าตัวเครื่องบินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลางอากาศ ซึ่งแตกต่างไปจากกรณีเครื่องบินตกส่วนใหญ่ จึงเหลือความเป็นไปได้อยู่ 2 ประการ นั่นคือ เกิดความบกพร่องผิดพลาดทางเทคนิคที่ทำให้เครื่องบินแตกเป็นเสี่ยง หรือไม่ก็เกิดจากระเบิดที่ถูกลับลอบวางไว้บนเครื่องบิน

กลุ่มนักรบเครือข่ายของพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส) ออกมาอ้างว่าเป็นคนสอยเครื่องบินลำดังกล่าว แต่ทางฝั่งนักวิเคราะห์ไม่เชื่อว่าพวกญิฮัดกลุ่มนี้เป็นผู้ยิงเครื่องบินโดยสารของสายการบินโคกาลีมาเวีย หรือเมโทรเจ็ต เนื่องจากเครื่องบินอยู่เหนือพื้นดินถึง 35,000 ฟุต (10,668 เมตร) ซึ่งไม่มีอาวุธใดๆ เท่าที่ทราบกันของไอเอสสามารถยิงสู่เป้าหมายเช่นนี้ได้

อย่างไรก็ตาม แม้เหล่านักวิเคราะห์ข่าวกรองปฏิเสธความเป็นไปได้ที่มันจะถูกยิงด้วยขีปนาวุธ แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บอกกับซีเอ็นเอ็นและเครือข่ายสถานีโทรทัศน์อื่นๆ ว่าดาวเทียมทหารดวงหนึ่งตรวจพบแสงร้อนวาบในช่วงเวลาที่เครื่องบินโหม่งโลก

ซีเอ็นเอ็นระบุว่า นี่อาจเป็นข้อบ่งชี้ว่าเกิดเหตุการณ์หายนะระหว่างเที่ยวบิน เป็นไปได้ที่จะเป็นผลจากระเบิดของระเบิด แม้ว่าพวกนักวิเคราะห์กำลังพิจารณาขอบเขตความเป็นไปได้ต่างๆ ของต้นตอโศกนาฏกรรมคราวนี้ ในนั้นรวมถึงเครื่องยนต์ขัดข้องจนเกิดระเบิด แล้วก่อไฟลุกไหม้ก่อปัญหาทางโครงสร้างหรือรอยแยกบนเครื่อง

ประธานาธิบดีอับดุล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ของอียิปต์ ให้สัมภาษณ์วิทยุโทรทัศน์บีบีซีในวันอังคาร (3) ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของไอเอสที่บอกว่าใช้ขีปนาวุธยิงเครื่องบินโดยสารรัสเซียตก โดยระบุมันเป็นแค่ การโฆษณาชวนเชื่อและต้องใช้เวลาในการหาต้นตอที่แท้จริง

คณะสืบสวนเริ่มลงมือตรวจสอบกล่องดำทั้ง 2 กล่องของเครื่องบินแล้วในวันอังคาร (3 พ.ย.) โดยใบหนึ่งบันทึกเสียงสนทนาในห้องนักบิน ส่วนอีกใบบันทึกข้อมูลการบิน