เอเจนซีส์ – เมื่อวานนี้ (15 ต.ค.) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา แถลงยืนยันถึงนโยบายทางการทหารในอัฟกานิสถานที่เปลี่ยนไป โดยมีการสั่งให้ขยายเวลาการคงกองกำลังสหรัฐฯ ประจำการจำนวน 5,500 นาย ให้นานออกไปหลังปี 2016 ในขณะที่แหล่งข่าวทางความมั่นคงสหรัฐฯ ออกมายอมรับว่า เพนตากอนตั้งใจโจมตีโรงพยาบาลของหน่วยแพทย์ไร้พรมแดน ( Médecins sans Frontières) หรือ MSF ในคุนดูซ อัฟกานิสถานเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมจริง เพราะต้องการสังหารผู้ก่อการร้ายชาวปากีสถานที่สหรัฐฯ เชื่อว่าใช้โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นกองบัญชาการรบ
บีบีซีรายงานเมื่อวานนี้ (15) ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา จะยังคงกองกำลังสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานจำนวน 5,500 นายถึงแม้เขาจะลงจากอำนาจในปี 2017 ไปแล้ว ซึ่งแต่เดิมสหรัฐฯ มีกำหนดจะให้กองกำลังส่วนใหญ่ออกจากอัฟกานิสถานจะต้องเดินทางกลับสหรัฐฯในสิ้นปีหน้า แต่ทว่าทางกองทัพสหรัฐฯ ชี้ว่า มีความจำเป็นที่จะต้องคงกองกำลังไว้ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเพื่อตอบโต้กับการขยายตัวของกลุ่มก่อการร้ายตอลิบาน สื่ออังกฤษชี้ว่าในปัจจุบันนี้มีทหารสหรัฐฯ ประจำอยู่ในอัฟกานิสถานราว 9,800 นาย
ในการขยายเวลาการประจำการ กองกำลังสหรัฐฯ จะประจำอยู่ใน 4 จุด คือ กรุงคาบูล (Kabul) บากราม( Bagram) จาลาลาบัด (Jalalabad) และกันดาฮาร์ (Kandahar)
ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ในวันพฤหัสบดี (16) โอบามาชี้ว่า การยังคงกองกำลังในอัฟกานิสถานไว้มากขึ้น และให้นานออกไป “จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม” ต่ออัฟกานิสถานและกองทัพอัฟกานิสถาน ซึ่งในความเห็นของผู้นำสหรัฐฯ นั้น กองกังลังอัฟกันยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านก่อการร้ายเพียงลำพังได้
“เป็นสิ่งถูกต้องที่ต้องทำ เราจะไม่ยอมให้อัฟกานิสถานถูกใช้เป็นแหล่งกบดานของกลุ่มก่อการร้ายเพื่อโจมตีสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง” โอบามาแถลง และชี้ว่านโยบายทางการทหารในอัฟกานิสถานนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ประกันต่อความปลอดภัยของอเมริกา
ทั้งนี้ โอบามาแถลงว่า สำหรับตอลิบานแล้วช่องทางเดียวที่จะทำให้สหรัฐฯถอนกองกำลังออกจากอัฟกานิสถานถาวรได้ต้องมาจากการเข้าสู่โต๊ะเจรจาและตกลงกับรัฐบาลอัฟกันเท่านั้น
บีบีซีวิเคราะห์ว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายการทหารของอเมริกาครั้งนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ทางรัฐบาลอัฟกันต้องการ หลังจากที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า ประธานาธิบดีอัฟกัน อัชราฟ กานี ใช้ทุกวิถีทางพยายามจะยับยั้งไม่ให้สหรัฐฯสั่งถอนกำลังออกจากประเทศทันที เพื่อต้องการให้กองทัพอัฟกานิสถานยังคงได้รับการฝึกฝนและติดอาวุธเพื่อมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำสงครามกับกลุ่มก่อการร้าย
ในขณะเดียวกัน นโยบายการยังคงกำลังในอัฟกานิสถานออกมาพร้อมกับรายงานพิเศษของเอพีที่รายงานผ่านดิอินดีเพนเดนต์ สื่ออังกฤษเมื่อวานนี้ (15) ว่า เพนตากอนรับทราบดีว่า ปฎิบัติการพิเศษสหรัฐฯ จะโจมตีโรงพยาบาลภายใต้การดำเนินงานของหน่วยงาน NGO แพทย์ไร้พรมแดน (Médecins sans Frontières) หรือ MSF ในอัฟกานิสถาน เพราะเชื่อว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ถูกสมาชิกก่อการร้ายชาวปากีสถานใช้เป็นกองบัญชาการรบ
ดิอินดีเพนเดนต์ชี้ว่า แหล่งข่าวความมั่นคงยืนยันกับเอพีว่า สหรัฐฯ เลือกที่จะใช้วิธีการโจมตีทางอากาศกับโรงพยาบาลแห่งนี้ เพราะเชื่อว่านักรบญิฮัดชาวปากีสถานใช้ห้องเก็บของเป็นที่เก็บอาวุธหนัก และโรงพยาบาลกลายเป็นกองบัญชาการออกคำสั่งทางทหาร
โดยในวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ ใช้ขีปนาวุธโจมตีโรงพยาบาลแห่งนี้ ทำให้แพทย์ พยาบาล และคนไข้รวม 22 คนต้องจบชีวิตในขณะที่อีก 37 คนได้รับบาดเจ็บ โดยในครั้งนั้นหน่วยงานแพทย์ไร้พรมแดนได้ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีโดยเรียกว่า “การโจมตีของสหรัฐฯเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม”
ด้านประธานแพทย์ไร้พรมแดน (Médecins sans Frontières) หรือ MSF ไมนี นิโคไล (Meinie Nicolai) ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ข้อมูลใหม่ที่เปิดเผยออกมาชี้ให้เห็นว่า โรงพยาบาลในอัฟกานิสถานแห่งนี้ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของหน่วยงานแพทย์ไร้พรมแดน ประธานใหญ่ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2013 ของ MSF Dr. Joanne Liu ออกแถลงการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม หรือ 4 วันหลังจากที่โรงพยาบาลของหน่วยงานในคุนดูซถูกโจมตีว่า ได้รับการติดต่อขอโทษอย่างทางการจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา
“เราได้รับการติดต่อขออภัยอย่างเป็นทางการจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ในเหตุที่สหรัฐฯ โจมตีโรงพยาบาลอัฟกานิสถานของเรา แต่อย่างไรก็ตาม ทางเรายังยืนยันอย่างหนักแน่นต่อสหรัฐฯ ให้มีการอนุญาตให้หน่วยงานอิสระไม่แสวงหาผลกำไรด้านสิทธิมนุษยชน the International Humanitarian Fact-Finding Commission ในการสอบหาความจริงให้กระจ่างในเหตุที่เกิดขึ้น”