เอเอฟพี – สถานการณ์ในซูดานใต้เลวร้ายลงในขณะที่มีประชาชนลี้ภัยการสู้รบแล้วกว่าหมื่นคนนับตั้งแต่ที่ข้อตกลงหยุดยิงได้รับการบรรลุเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวเตือน
ในรัฐยูนิตีซึ่งเป็นสมรภูมิทางเหนือ พลเรือนหลายพันคนกำลังเดินทางผ่านพื้นที่หนองน้ำซุดด์อันกว้างใหญ่เพื่อไปยังหมู่บ้านนายัลให้พ้นจากการสู้รบ
“นับตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมมีเรือแคนูราวแล่นมาถึงหมู่บ้านนายัลวันละราว 10 ลำโดยแต่ละลำบรรทุกคน 60-70 คน” สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) ระบุในรายงานฉบับล่าสุด
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีคนมาถึงหมู่บ้านนายัลแล้วอย่างน้อย 18,000 คน ทำให้จำนวนพลเรือนทั้งหมดนั้นมีมากกว่า 78,000 คน รายงานระบุเสริม
ในเมืองหลวงจูบา ยูเอ็นเตือนเรื่อง “สถานการณ์ความมั่นคงที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ” และมีเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์รายหนึ่งถูกฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหดที่เมืองนี้เมื่อวันที่ 10 กันยายน ทำให้จำนวนเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ที่ถูกฆ่านับตั้งแต่สงครามนี้เริ่มต้นเพิ่มขึ้นเป็น 34 ราย
มีประชาชนหลบหนีการสู้รบอยู่ภายในประเทศนี้ราว 1.64 ล้านคน อีก 628,000 คนหลบหนีเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านในฐานะผู้ลี้ภัย ขณะที่กว่า 4.6 ล้านคนในตอนนี้ต้องพึ่งพาอาศัยความช่วยเหลือด้านอาหาร
กองทัพบกและกลุ่มกบฏต่างโทษกันไปโทษกันมาว่าอีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของวันที่ 29 สิงหาคม ข้อตกลงฉบับที่ 8 ที่ได้รับการลงนามนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองปะทุขึ้นในเดือนธันวาคมปี 2013
แม้ว่าจะการสู้รบกัน แต่ทั้งสองฝ่ายระบุว่า ข้อตกลงทางการเมืองดังกล่าวยังคงมีผลบังคับใช้อยู่
มีพลเรือนที่ขวัญผวากว่า 192,000 คนกำลังหลบภัยอยู่ในค่ายของยูเอ็น โดยในค่ายที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเอกเบนติอูของรัฐยูนิตี ซึ่งบ้านของพลเรือนราว 112,000คน มีเด็กเสียชีวิตถึงราว 34 คนในเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น ส่วนใหญ่จากโรคมาลาเรีย รายงานของยูเอ็นระบุ
“ภาวะขาดสารอาหารยังคงเป็นความกังวลหลักทั่วทั้งประเทศนี้” รายงานของยูเอ็นระบุเสริม
ซูดานใต้ ชาติที่อายุน้อยที่สุดในโลก ตกลงสู่การนองเลือดในเดือนธันวาคมปี 2013 เมื่อประธานาธิบดี ซัลวา คีร์ กล่าวหา รัค มาชาร์ รองประธานาธิบดีของเขาว่าวางแผนการรัฐประหาร
ความรุนแรงดังกล่าวได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วหลายหมื่นคนและส่งผลให้ประเทศยากแค้นแห่งนี้เกิดความร้าวฉานทางเชื้อชาติ