เอพี/รอยเตอร์ - คนร้ายจุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตายและคาร์บอมบ์ถล่มมัสยิดแห่งหนึ่งในกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายกบฏ คร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 28 ศพเมื่อวันพุธ (2 ก.ย.) สถานการณ์ความรุนแรงระลอกล่าสุดที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามกลางเมืองที่กำลังฉีกประเทศแห่งนี้เป็นชิ้นๆ
เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงเปิดเผยว่า มือระเบิดฆ่าตัวตายจุดชนวนระเบิดภายในมัสยิดระหว่างที่ผู้คนกำลังประกอบพิธีสวดมนต์เย็น ส่วนคาร์บอมบ์ถูกจุดชนวนขึ้นบริเวณด้านนอกของทางเข้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ยอมรับว่ายอดผู้เสียชีวิตอาจพุ่งสูงกว่านี้ เนื่องจากยังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่ยังอยู่ในห้องผ่าตัดตามโรงพยาบาลต่างๆ
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า แรงระเบิดทำให้ชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์กระจัดกระจายและเลือดนองเต็มพื้นมัสยิด ซึ่งชาวมุสลิมทั้งสุหนี่และชีอะห์ต่างใช้ประกอบพิธีต่างๆ ท่ามกลางเสียงครวญครางร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนอีกคนบอกว่าคาร์บอมบ์ถูกจุดชนวนระเบิดขึ้นระหว่างที่ชาวบ้านกำลังพาคนเจ็บออกมานอก คร่าชีวิตผู้คนเพิ่มเติม
ในเวลาต่อมา กลุ่มเครือข่ายท้องถิ่นเยเมนของพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส) เผยแพร่สารบนสื่อสังคมออนไลน์ อ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีดังกล่าว โดยระบุว่ามือระเบิดคือนายกูอาย อัล-ซานานี ที่ลงมือแก้โค้นฝ่ายกบฏชีอะห์หรือรู้จักกันในนาม “ฮูตี” ซึ่งยึดครองกรุงซานาอยู่ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ทางเอพีไม่ยืนยันว่าสารดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่ แม้มันมีความคล้ายคลึงกับสารอื่นๆ ของกลุ่มที่เคยออกมาอ้างความรับผิดชอบเหตุโจมตีก่อนหน้านี้
เครือข่ายรัฐอิสลามในเยเมน เคยดำเนินการโจมตีเป้าหมายมัสยิดต่างๆ แบบเดียวกันนี้มาแล้วหลายครั้ง ในนั้นรวมถึงเหตุระเบิดฆ่าตัวตายหลายระลอกในกรุงซานา เมื่อวันที่ 20 มีนาคม คร่าชีวิตผู้คน 137 ศพ และบาดเจ็บ 345 คน
เยเมนแปดเปื้อนไปด้วยเหตุความรุนแรงนับตั้งแต่กบฏฮูตี เข้ายึดกรุงซานาเมื่อเดือนกันยายนปีก่อน โดยพวกฮูตี ร่วมด้วยหน่วยทหารที่ภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ กำลังสู้รบกับกองกำลังของประธานาธิบดีอาเบด แรบโบ มานซูร์ ฮาดี ที่จับมือกับพวกแบ่งแยกดินแดนทางใต้และนักรบท้องถิ่น กระตุ้นให้ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ซึ่งให้การหนุนหลังประธานาธิบดีฮาดี ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อต้านฝ่ายกบฏฮูตี นับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสหประชาชาติระบุว่า ความขัดแย้งดังกล่าวได้คร่าชีวิตพลเรือนไปแล้วกว่า 2,100 ศพ