xs
xsm
sm
md
lg

“นาจิบ” ยังถูกกดดันหนัก แม้ คกก.ปราบทุจริตมาเลเซียสรุป $700 ล.โผล่ที่บัญชีนายกฯ เป็นเงินบริจาค ไม่มีเอี่ยวกองทุน 1MDB

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก แห่งมาเลเซีย ยังจะถูกกดดันอย่างหนัก แม้ว่าหน่วยงานปราบปรามการทุจริตของรัฐบาลสรุปผลการสอบสวนที่มาที่ไปของเงินเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ ที่ถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของนายกฯ  อ้างว่าทั้งหมดเป็นเพียง “เงินบริจาค” ไม่ได้ถูกยักย้ายมาจากเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจดังที่ตกเป็นข่าวกระฉ่อนก่อนหน้านี้
เอเอฟพี/รอยเตอร์ - พรรคฝ่ายค้านและนักเคลื่อนไหว ตลอดจนกระทั่งสมาชิกอาวุโสในพรรคแกนนำรัฐบาลมาเลเซียเอง ต่างแสดงท่าทีชัดเจนในวันอังคาร (4 ส.ค.) จะยังไม่หยุดยั้งการกดดันนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ถึงแม้หน่วยงานปราบปรามการทุจริตของรัฐบาลสรุปผลการสอบสวนที่มาที่ไปของเงินเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ ที่ถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของนายกฯ อ้างว่าทั้งหมดเป็นเพียง “เงินบริจาค” ไม่ได้ถูกยักย้ายมาจากเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจดังที่ตกเป็นข่าวกระฉ่อนก่อนหน้านี้

ผู้นำเสือเหลืองเผชิญแรงกดดันอย่างหนักตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว หลังมีกระแสข่าวว่าเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ ถูกดึงออกไปจากกองทุน วัน มาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1MDB) กองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวที่รัฐบาลนาจิบก่อตั้งขึ้น

เดือนที่แล้ว หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า พนักงานสอบสวนของรัฐบาลมาเลเซียตรวจพบเงินเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ ถูกโอนไปเข้าบัญชีส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี จนเกิดกระแสเรียกร้องให้นาจิบลาออกเพื่อรับผิดชอบ

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการปราบปรามการทุจริตมาเลเซียได้ประกาศผลการสอบสวนเมื่อวันจันทร์ (3) โดยยอมรับว่ามีเงินจำนวนดังกล่าวถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของนาจิบจริง ทว่าไม่เกี่ยวข้องกับกองทุน 1MDB

“จากการตรวจสอบพบว่า เงินจำนวน 2,600 ล้านริงกิตที่อ้างว่าถูกโอนเข้าบัญชี (นาจิบ) นั้น เป็นเงินที่มีผู้บริจาคให้ และไม่ได้มาจากกองทุน 1MDB”

ทว่าทางคณะกรรมการไม่ได้ระบุตัวตนของผู้บริจาคที่ว่านี้ โดยชี้ว่ายังอยู่ระหว่างการสอบสวน

ทั้ง นาจิบ และกองทุน 1MDB ที่เขาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2009 ต่างออกมาปฏิเสธข่าวการยักยอกเงิน โดยอ้างว่าเป็นแผนของศัตรูทางการเมืองที่ต้องการใส่ความเพื่อล้มล้างรัฐบาล ทั้งนี้ นาจิบไม่เคยปฏิเสธเรื่องที่เงินเหล่านี้ไหลเข้าบัญชีของเขา แต่ยืนยันว่าเขาไม่ได้นำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น

สัปดาห์ที่แล้ว นาจิบยังได้สั่งปลดรองนายกรัฐมนตรี มูห์ยิดดิน ยัสซิน และรัฐมนตรีอีกหลายคนที่เรียกร้องให้เขาออกมาอธิบายเกี่ยวกับกรณีอื้อฉาว 1MDB รวมทั้งเปลี่ยนตัวอัยการสูงสุด ที่เป็นผู้ทำคดีนี้

นอกจากนั้นเขายังใช้อำนาจเล่นงานสื่อมวลชนที่รายงานกรณีอื้อฉาวนี้ โดยสั่งระงับไม่ให้หนังสือพิมพ์ 2 ฉบับตีพิมพ์จำหน่าย และบล็อกไม่ให้ผู้ใช้เข้าถึง “ซาราวัก รีพอร์ต” เว็บพอร์ทัลด้านข่าว ตำรวจยังแถลงในวันอังคาร (4) ว่า มีหมายจับ แคลร์ ริวคาสเซิล-บราวน์ ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการของซาราวัก รีพอร์ต ซึ่งอยู่ประจำที่กรุงลอนดอน

ขณะเดียวกัน ยังมีผู้ประท้วงหลายคนถูกจับกุมโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายปลุกปั่นให้แข็งขืนอำนาจปกครอง ส่วนผู้นำฝ่ายค้านบางคนก็ถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

“ฮิวแมน ไรส์ วอตช์” องค์การสิทธิมนุษยชนที่ตั้งฐานอยู่ในนิวยอร์ก แถลงเรียกร้องให้รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ของสหรัฐฯ ซึ่งกำหนดเดินทางถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันพุธ (5) เพื่อเข้าร่วมการประชุมกับสมาคมอาเซียน หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพูดจาว่ากล่าวกับนาจิบ

“รัฐมนตรีต่างประเทศเคร์รี ควรที่จะบอกกับนายกรัฐมนตรีนาจิบอย่างเปิดเผยว่า การชุมนุมเดินขบวนอย่างสันตินั้นไม่ได้เป็นภัยต่อระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา การพูดสิ่งที่ตนเองคิดออกมาก็ไม่ใช่การปลุกปั่น และการขัดขวางการสอบสวนเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นตนั้นจะเป็นตัวทำลาย ไม่ใช่ตัวรักษาประชาธิปไตย” ฟิล โรเบิร์ตสัน แห่ง ฮิวแมน ไรส์ วอตช์ ระบุในคำแถลง

ขณะที่ ลิม กิต เสียง ผู้นำในรัฐสภาจากพรรคเดโมเครติก แอคชั่น ปาร์ตี้ (ดีเอพี) ที่เป็นฝ่ายค้าน กล่าวว่า ชาวมาเลเซียและทั่วโลกกำลังเฝ้าจับตามองประเทศนี้ที่ถูกเกาะกุมด้วยความบ้าบอจากการที่รัฐบาลกำลังทำสงครามกับตัวเอง ความบ้าบอดังกล่าวต้องยุติลงไปเสียที และชาวมาเลเซียต้องกล้าเข้าเผชิญประเด็นปัญหาสำคัญที่สุดที่มีอยู่หนึ่งเดียว นั่นคือ นายกรัฐมนตรีนาจิบจะสามารถทำให้ชาวมาเลเซียและทั่วโลกมั่นใจได้หรือไม่ว่าเขาบริสุทธิ์ และมีอำนาจทางศีลธรรมที่จะนำพามาเลเซียต่อไป

ถึงแม้สมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรคอัมโนของนาจิบ ส่วนใหญ่พากันแสดงการหนุนหลังนายกรัฐมนตรี แต่ในวันอังคาร (4) ก็มี โมฮาเหม็ด คอเล็ด นอร์ดิน มุขมนตรีรัฐยะโฮร์ ซึ่งอยู่ในพรรคอัมโน เขียนลงในหน้าเฟซบุ๊กของเขาว่า อัมโนไม่สามารถที่จะนิ่งเงียบ ถ้า “คอร์รัปชั่นกลายเป็นวัฒนธรรม หรือความเชื่อถือไว้วางใจได้ถูกทรยศหักหลัง”

“อัมโนไม่สามารถที่จะนิ่งเงียบ ในเมื่อพรรคไม่ได้เป็นแชมเปี้ยนผู้กล้าในการต่อสู้เพื่อมาเลเซียอีกต่อไป ตรงกันข้ามพรรคกลับถูกใช้เพื่อปกป้องคุ้มครองคนไม่กี่คนภายใต้นามแห่งความจงรักภักดีหรือการมีวินัยยึดมั่นเหนี่ยวแน่นต่อผู้นำ”

นักวิพากษ์วิจารณ์นาจิบที่ทรงอิทธิพลบารมีสูงที่สุดอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮาหมัด ก็กระโดดเข้าร่วมวงด้วย โดยเขียนไว้ในบล็อกของเขาตั้งคำถามว่า ทำไมจึงมีเงินบริจาคเข้าไปในบัญชีส่วนตัวของนาจิบเช่นนี้ ขณะที่ “ไม่มีเงินบริจาคเพื่อใช้ในการเลือกตั้งสักสตางค์แดงเดียวได้เคยถูกฝากไว้ในบัญชีของผม”

ความขุ่นเคืองไม่พอใจต่อรัฐบาลนาจิบของประชาชนวงกว้าง ก็ดูจะเพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ

กลุ่ม “เบอร์ซีห์” ที่เป็นกลุ่มรณรงค์เรียกร้องให้ปฏิรูปการเลือกตั้ง ได้นัดหมายจัดการชุมนุมมวลชนขึ้นใน 3 เมืองใหญ่ของประเทศในวันที่ 28-29 เดือนนี้ โดยที่การชุมนุมเดินขบวนหนสุดท้ายของพวกเขา ซึ่งเรียกร้องให้ดำเนินการปฏิรูปการเลือกตั้งเมื่อปี 2012 นั้น จบลงโดยถูกตำรวจใช้กำลังเข้าปราบปราม

ภาวะเศรษฐกิจที่ข้าวของต่างๆ กำลังแพงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ค่าเงินอ่อนตัวลง ก็มีส่วนเพิ่มเติมอารมณ์ความรู้สึกย่ำแย่หมดหวังของประชาชน ทั้งนี้เงินริงกิตมาเลเซีย กลายเป็นสกุลเงินตราที่อ่อนตัวที่สุดของเอเชียในรอบปีนี้ โดยที่ลดค่าลงมากว่า 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ


กำลังโหลดความคิดเห็น