เอเอฟพี - ตลาดหุ้นของกรีซซึ่งเปิดการซื้อขายเป็นวันแรกเมื่อวันจันทร์ (3 ส.ค.) ภายหลังปิดทำการยาว 5 สัปดาห์สืบเนื่องจากมาตรการควบคุมเงินทุนของรัฐบาล เจอแรงกระหน่ำเทขายหนักตามคาดหมาย จนกระทั่งปิดตลาดด้วยการติดลบดำดิ่งเป็นประวัติการณ์ถึง 16.23% โดยที่หุ้นพวกธนาคารทรุดหนักเป็นพิเศษ
ดัชนี ATHEX ซึ่งเป็นดัชนีสำคัญของตลาดลดลงมา 668.06 จุด ถือว่าตกหนักที่สุดในรอบระยะเวลาเกือบ 30 ปี ท่ามกลางบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ขณะที่การเมืองก็ไร้เสถียรภาพทำท่าจะต้องมีการจัดการเลือกตั้งกันใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
การดำดิ่งครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นของกรีซก่อนหน้านี้ ได้แก่การเซถลาลงมา 15.03% เมื่อปี 1987
“สถานการณ์ของพวกตลาดหลักทรัพย์ของกรีซ จะต้องย่ำแย่ลงไปอีกเยอะ ก่อนที่จะกลับกระเตื้องดีขึ้นมาได้” ลูกา เปาลินี หัวหน้านักยุทTศาสตร์การลงทุนในลอนดอนของ พิคเต็ต แอสเส็ต แมเนจเมนต์ กล่าวให้ความเห็น “ยังคงมีความเสี่ยงที่อันตรายยิ่งอีกหลายอย่างที่รอการแก้ไขคลี่คลาย”
พวกธนาคารรายใหญ่ของประเทศเจอแรงเทขายหนักหน่วง โดยที่ เนชั่นแนล แบงก์ และ พิเรอุส แบงก์ หล่นลงสู่ขีดต่ำสุดซึ่งตลาดอนุญาตให้ลงไปได้ นั่นคือ -30% ขณะที่อัลฟา แบงก์ ปิดตลาด -29.81% และ ยูโรแบงก์ -29.86%
นักลงทุนยังพากันระบายหุ้นที่ไม่สมควรเก็บไว้แล้วในบริษัทระดับท็อปทั้งหมดของกรีซ เป็นต้นว่า OPAP กิจการเกมยักษ์ใหญ่, PPC กิจการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า, OTE ผู้ให้บริการด้านสื่อสาร และ HELPE โรงกลั่นน้ำมันชั้นนำ โดยราคาไหลรูดลงมาระหว่าง 12 ถึง 23%
“แรงกดดันของพวกที่ต้องการเทขายนั้นแรงมาก ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลและเป็นที่คาดหมายของทุกๆ คนอยู่แล้ว” ประธานตลาดหุ้น โสเครติส ลาซาริดิส บอกกับ บลูมเบิร์ก ทีวี พร้อมกับชี้ว่า ตัวเขาคาดหมายว่าตลาดจะกลับคืนสู่เสถียรภาพได้ภายในระยะเวลา 1 เดือน
“หลังจากไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้มาเป็นเวลาถึง 5 อาทิตย์ ย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรวมเอาปัจจัยความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศของตลาดทุนเข้ามา และก็รวมทั้งต้องรวมเอาความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในภาวะแวดล้อมภายในประเทศด้วย ซึ่งก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ จำนวนมาก” ลาซาริดิส กล่าวต่อ
การทรุดตัวของตลาดหุ้นกรีซ ดูจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ของยุโรป โดยที่ ดัชนี CAC40 ของปารีส ปิดตลาดโดยบวกขึ้นมา 0.75% เช่นเดียวกับดัชนี DAX30 ของตลาดแฟรงเฟิร์ตซึ่งสูงขึ้น 1.19%
มีเพียงดัชนีหุ้น FTSE100 ของลอนดอนซึ่งถอยลงมา 0.11% ทว่า ปัจจัยเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของจีนดูจะเป็นเรื่องที่มีอิทธิพลมากกว่า
