(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Markets don’t like national suicide: Spengler
BY DAVID P. GOLDMAN
29/06/2015
ในทางการเงินแท้ๆ แล้ว ถ้ากรีซจะล้มละลายไปทั้งประเทศ ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่มากเท่าใดนัก เนื่องจากนักลงทุนภาคเอกชนเป็นผู้ถือหนี้สินของประเทศนี้อยู่เพียงแค่ 17% ขณะที่เศรษฐกิจของกรีซก็เล็กมากคิดเป็นเพียงแค่เท่ากับ 2% ของยูโรโซน หากมองกันด้วยแง่มุมทางการเมือง การที่ระบบการเงินของกรีซพังครืนลงมาในวันนี้ บางทีอาจจะเป็นผลบวกด้วยซ้ำ เพราะกรีซจะได้ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างอันน่าสยดสยอง ให้แก่ประดาประเทศซึ่งมีความโน้มเอียงทำนองเดียวกันที่จะเลือกตั้งเอาพวกนักประชานิยมผู้เก่งกาจในการปลุกระดมมวลชนแต่ปฏิเสธไม่ยอมยึดถือความเป็นจริง ขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง
เมื่อพิจารณากันเพียงในแง่การเงินแท้ๆ แล้ว ถ้าหากประเทศกรีซจะล้มละลายไป ก็ยังคงถือว่ามีความสำคัญไม่มากเท่าไรนัก พวกนักลงทุนภาคเอกชนเป็นเจ้าของถือครองหนี้สินของประเทศนี้อยู่เพียงแค่ 17% แถมส่วนใหญ่ของเจ้าหนี้เหล่านี้ยังเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ซึ่งสามารถแบกรับการขาดทุนขนาดนี้ได้อยู่แล้ว สำหรับอีก 62% นั้นเป็นหนี้สินที่กรีซติดค้างพวกรัฐบาลในเขตยูโรโซน และอีก 10% เป็นหนี้ซึ่งติดไอเอ็มเอฟ เศรษฐกิจของกรีซนั้นคิดเป็นเพียงเท่ากับแค่ 2% ของเศรษฐกิจยูโรโซน
มองกันด้วยแง่มุมทางการเมืองแล้ว การที่ระบบการเงินของกรีซจะปิดตัวล้มครืนลงไปในวันนี้ บางทีอาจจะเป็นผลบวกด้วยซ้ำ เพราะกรีซจะได้ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างอันน่าสยดสยอง ให้แก่ประดาประเทศซึ่งมีความโน้มเอียงทำนองเดียวกัน ที่จะเลือกตั้งเอาพวกนักประชานิยมผู้เก่งกาจในการปลุกระดมมวลชนแต่ปฏิเสธไม่ยอมยึดถือความเป็นจริง ขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง แน่นอนทีเดียว ประชาชนชาวกรีกจะต้องทนลำบากทุกข์ยากสำหรับบาปกรรมที่พวกเขาก่อขึ้นมาด้วยการให้ความสนับสนุนพรรคไซรีซา (Syriza) ซึ่งผมมองว่าเป็นเพียงคณะตัวตลกฝ่ายซ้าย ที่ชวนให้ระลึกย้อนไปถึงภาพเขียนบนกำแพงตึกในยุคปี 1968 ภาพหนึ่ง ซึ่งมุ่งยั่วล้อกระแสฝ่ายซ้ายมาร์กซิสต์ที่กำลังเฟื่องฟูโดยเฉพาะในฝรั่งเศสเวลานั้น ภาพดังกล่าวเขียนบรรยายว่า “I’m a Marxist (Groucho faction). (ผมเป็นมาร์กซิสต์ แต่เป็นมาร์กซิสต์ฝ่ายกรูโชนะครับ ทั้งนี้ กรูโช มาร์กซ์ Groucho Marx เป็นนักแสดงตลกชื่อดังในสหรัฐฯ -ผู้แปล)
นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ตลาดเกิดความวิตกกังวลอะไรนักหนาอยู่แล้ว
ในโลกเรานี้ ชาติต่างๆ สามารถฆ่าตัวตายได้ และก็มีชาติที่ฆ่าตัวตายกันจริงๆ ด้วยนะครับ มันมีอยู่เรื่อยๆ แหละ ถ้าหากประเทศกรีซสามารถเลือกที่จะฆ่าตัวตาย ชาติอื่นๆ ก็สามารถทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน เวลานี้ยังมีชาติอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งขนาดของเศรษฐกิจใหญ่โตกว่ากรีซ แต่ก็กำลังต้องดิ้นรนกันหนักอยู่ภายใต้เงาทะมึนของภาระหนี้สินอันมหึมามโหฬาร ตัวอย่างเช่น บราซิล และ ตุรกี ทั้งนี้ยังไม่ต้องเอ่ยถึงพวกชาติในยุโรปใต้รายอื่นๆ ชาวกรีกนั้นเลือกที่จะเดินไปจนถึงสุดขอบ โดยทึกทักเอาว่ามันจะเป็นวิธีซึ่งบีบบังคับให้พวกผู้เสียภาษีชาวเยอรมัน ต้องยินยอมชำระบิลที่เกิดขึ้นมาจากความสุรุ่ยสุ่ร่ายและความไม่เอาถ่านไร้ประสิทธิภาพของพวกเขาอีกคำรบหนึ่ง ทว่าในหนนี้พวกเขากลับต้องก้าวเดินจนกระทั่งตกขอบไปเลย
ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคตข้างหน้า พวกประเทศยุโรปทั้งหมดจะต้องเผชิญกับภาวะไม่มีเงินทองสำหรับใช้อุดหนุนระบบบำนาญต่างๆ ของพวกเขาอย่างแน่นอน เนื่องจากภายในปี 2050 ประชากรของพวกเขาถึงราวครึ่งหนึ่งทีเดียวจะกลายเป็นผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นๆ ทั้งนี้ตามฐานข้อมูลของ “ทิศทางแนวโน้มประชากรโลก” ของสหประชาชาติ (UN World Population Prospects)

เวลาดังกล่าวนี้สามารถที่จะผลักให้ถอยไกลออกไปอีกได้ ด้วยวิธีการปรับเพิ่มอายุผู้ที่จะถึงวัยเกษียณ (การกระทำเช่นนี้ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุมีผล เนื่องจากประชากรสูงอายุเวลานี้มีสุขภาพที่ดีกว่าในอดีต) และด้วยการยอมรับผู้อพยพเข้ามาจากต่างแดน (ถึงแม้มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า ต้นแหล่งของผู้อพยพมีทักษะที่จะเดินทางเข้ามายังยุโรป –อันได้แก่ ยุโรปตะวันออก, ตุรกี, อิหร่าน, ละตินอเมริกา— ก็กำลังมีจำนวนผู้มีทักษะลดน้อยลงทุกที)
สำหรับเศรษฐกิจของกรีซนั้น มันเป็นเพียงแค่เรื่องตลกๆ ไม่ได้มีความจริงจังอะไรเลย เวลานี้ประเทศกรีซแทบไม่ได้ส่งออกอะไรนอกไปจากพวกผลิตภัณฑ์อาหารและฝ้าย ขณะที่ไม่สามารถยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้รุ่งเรืองยิ่งไปกว่าที่เป็นอยู่นี้แล้ว ในเวลาเดียวกัน การหลบหนีหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีกลับถือเป็นความบันเทิงเริงรมย์ประจำชาติทีเดียว ว่ากันว่าจำนวนของผู้เสียภาษีจริงๆ มีน้อยกว่าจำนวนเจ้าหน้าที่สรรพากรซึ่งพยายามตามเก็บตามล่าภาษีเสียอีก ในเรื่องการเข้าร่วมใช้สกุลเงินยูโรนั้น ตั้งแต่แรกเลยกรีซโกหกเรื่องขนาดจีดีพีของตนเองเพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในยูโรโซนด้วย (ดูรายละเอียดได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Greek_Financial_Audit,_2004) หลังจากนั้นประชาชนชาวกรีกก็ออกเสียงลงคะแนนพียงเพื่อให้พวกเขาเองได้ร่ำรวยฟุ่มเฟือย มีการอาศัยสถานะของการอยู่ในยูโรโซนไปหาทางกู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่ายกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ระดับค่าจ้างแท้จริงของกรีซก็ขยับขึ้นลิ่วในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ 2000

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐสวัสดิการของชาวกรีก กลับกลายมาเป็นสิ่งที่เข่นฆ่าพวกเขาเอง ในยุคศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล นักประวัติศาสตร์ ทิวซิดิดีส (Thuycicides) และนักเขียนบทละครชวนหัวผู้ยิ่งใหญ่ อริสโตฟานีส (Aristophanes) ได้ยั่วล้อเย้ยเยาะระบอบประชาธิปไตยของนครรัฐเอเธนส์ในระหว่างที่เกิดสงครามเพโลพอนนีเชียน (Pelopponesian war สงครามในปี 431 ถึง 404 ก่อนค.ศ. ระหว่างเอเธนส์กับสันนิบาตเพโลพอนนีเชียน ที่นำโดย สปาร์ตา) อริสโตฟานีสนั้นเย้ยหยันระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์ว่าเป็นรัฐสวัสดิการที่ตะกละละโมบ ซึ่งพวกชนชั้นนำคอยผลักดันแผนการฟังดูเลิศเลอต่างๆ เพื่อติดสินบนเอาอกเอาใจฝูงชนผู้ออกเสียง ผมได้เขียนเกี่ยวกับสภาวการณ์นี้เอาไว้ในหนังสือเรื่อง “How Civilizations Die” ของผมเมื่อปี 2011 ดังนี้:
แทนที่จะเป็นกลุ่มชนชาวนารายย่อยผู้มีทรัพย์สินเพียงเล็กๆ น้อยๆ ชาวเอเธนส์ในยุคศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล และชาวโรมันได้ในยุคศตวรรษที่ 1 ได้กลายเป็นทหารและนายทาส ข้าวปลาอาหารที่บำรุงเลี้ยงเอเธนส์ในยุคเพลิคลีส ( Periclean Athens อยู่ในช่วงประมาณกลางศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล จนถึงช่วงเริ่มสงครามเพโลพอนนีเชียน ข้อมูลจาก Wikipedia -ผู้แปล) นั้นประมาณครึ่งหนึ่งทีเดียวเป็นของนำเข้า และชำระค่าข้าวปลาอาหารเหล่านี้ด้วยส่วยสาอากรเครื่องบรรณาการซึ่งเก็บมาจากบรรดานครที่เป็นเมืองขึ้น และทันทีที่ข้อผูกมัดจำกัดของสังคมแบบดั้งเดิมเกิดการพังครืนลงไป ชาวเอเธนส์เหล่านี้ก็ยุติการเลี้ยงดูบุตรกันทีเดียว
ตัวละครตัวหนึ่งในละครสุขนาฏกรรมเรื่อง “The Wasps” (ของอริสโตฟานีส) กล่าวเตือน (ว่า พวกผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยของเอเธนส์นั้น) “เป็นพวกที่ใช้วิธีข่มขู่กรรโชกคอยรีดไถเงินครั้งละ 50 ทาเลนต์จากพวกพันธมิตร”
“จ่ายส่วยให้ข้า” พวกเขาบอก “ไม่ยังงั้นข้าก็จะปล่อยสายฟ้าผ่าไปที่เมืองของพวกเอ็ง ทำลายเมืองของพวกเอ็งเสีย”
ส่วนพวกเจ้า เจ้าเป็นพวกที่พออกพอใจกับการกัดแทะพลังอำนาจของพวกเจ้าเองไปทีละน้อยๆ
แล้วพวกพันธมิตรล่ะทำอะไร? พวกเขาก็กำลังมองเห็นฝูงชนชาวเอเธนส์ที่มีชีวิตอยู่ด้วยเครื่องบรรณาการ โดยต้องใช้จ่ายอย่างขี้ตืดและน่าสังเวชนะซี...”
ทิวซีดิดีส ผู้จดบันทึกเรื่องราวของสงครามเพโลพอนนีเชียน เล่าถึงเรื่องราวอย่างเดียวกันกับอริสโตฟานีส เขาประณามกล่าวโทษการที่ชาวเอเธนส์ไปทำสงครามและประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับในดินแดนซิซีลีระหว่างปี 415 – 413 ก่อนคริสตกาล ตลอดจนการที่สปาร์ตาสามารถหยามหมิ่นสร้างความอับอายให้แก่นครรัฐของเขาได้ในท้ายที่สุด ว่ามีสาเหตุมาจากการที่ชาวเอเธนส์ปรารถนาแต่จะได้ข้าวของล้ำค่าที่สามารถแย่งชิงปล้นสะดมมา ระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์นั้นลงคะแนนให้เข้าโจมตีนครซีราคิวส์ (Syracuse) บนเกาะซิซีลี ทั้งๆ ที่เป็นนครรัฐซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเหมือนๆ กัน โดยอ้างเหตุผลซึ่ง “เมื่อดูเพียงแค่เปลือกนอก ดูเหมือนสมเหตุสมผล ทว่าในความเป็นจริงแล้วกำลังมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้าพิชิตทั่วทั้งซิซีลีทีเดียว … ทั้งมวลชนโดยทั่วไปและทั้งตัวทหารแต่ละคนโดยเฉลี่ย ต่างมองเห็นว่าเป็นลู่ทางโอกาสที่จะได้รับเงินค่าจ้างไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเป็นการเพิ่มเติมพอกพูนให้แก่จักรวรรดิ เพื่อที่พวกเขาเองจะได้รับหลักประกันว่าจะได้รับการจ่ายค่าจ้างอย่างมั่นคงถาวรต่อไปในอนาคตข้างหน้า”
พวกเราเที่ยวเล่าให้ลูกหลานฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของเอเธนส์ซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แสนดีงาม และสปาร์ตาซึ่งเป็นระบอบคณาธิปไตยที่แสนชั่วร้าย โดยแกล้งๆ ทำเป็นหลงลืมไปว่าในระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์นั้น ฝูงชนชาวเอเธนส์ได้ผลักดันให้จักรวรรดิขยายตัวออกไปอย่างบุ่มบ่ามไร้ความยั้งคิด และก่อให้เกิดความพินาศหายนะในท้ายที่สุด เหมือนอย่างที่ อเล็กซิส เดอ ท็อกเกอร์วิลล์ (Alexis De Toqueville) ได้กล่าวเตือนไว้ในอีก 2,300 ปีให้หลังว่า ความเสี่ยงของระบอบประชาธิปไตยก็คือ ประชาชนจะเอาแต่โหวตให้พวกตนเองได้มั่งคั่งฟุ่มเฟือย

ไม่ใช่มีเพียงเฉพาะชาวกรีกเท่านั้นหรอกที่กำลังหยุดทำงาน ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่กำลังทำงานกันอยู่เวลานี้มีไม่ถึง 70% แล้วจากที่เคยอยู่ในระดับ 87% เมื่อปี 1950 แล้วคนเหล่านี้ทำอย่างไรในการเลี้ยงชีพตนเอง? ก็เป็นอย่างที่ นิโคลัส อีเบอร์สตัดต์ (Nicholas Eberstadt) รายงานเอาไว้นั่นแหละ “ในปี 2010 ครัวเรือนชาวอเมริกันกว่า 34% เป็นผู้ที่ได้รับสวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อย –ครัวเรือนเหล่านี้ครอบคลุมประชากรเด็กๆ ร่วมๆ ครึ่งหนึ่งของอเมริกาทีเดียว”
ในระยะสั้น บางทีตัวอย่างของกรีซอาจจะมีอิทธิพลในทางสยบลัทธิประชานิยม แต่ในระยะยาวไกลกว่านั้น ความขมขื่นเคียดแค้นของพวกที่คอยอาศัยเกาะกินคนอื่นๆ อาจจะเป็นภัยคุกคามถึงโครงสร้างทางการเมืองของสหรัฐฯตลอดจนของยุโรปตะวันตก ขณะเดียวกัน ความล้มเหลวของลัทธิประชานิยมที่หล่อเลี้ยงด้วยหนี้สินในบรรดาประเทศโลกที่สาม ก็จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดวิกฤตทำนองเดียวกันนี้ขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ของโลก
กรีซจึงยังไม่ใช่ของจริง มันเป็นเพียงการซักซ้อมครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ก็เป็นการซักซ้อมสำหรับของจริงที่ใหญ่โตและมีอันตรายร้ายแรงยิ่ง ซึ่งอาจจะปะทุขึ้นมาในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้
เดวิด พี. โกลด์แมน เขียนเรื่องให้เอเชียไทมส์โดยใช้นามปากกาว่า “สเปงเกลอร์” (Spengle) มาตั้งแต่ปี 2000 เขาเป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่ London Center for Policy Research และเป็น Wax Family Fellow อยู่ที่ Middle East Forum หนังสือเรื่อง How Civilizations Die (and why Islam is Dying, Too) ของเขา ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Regnery Press ในเดือนกันยายน 2011 หนังสือรวมข้อเขียนทางด้านวัฒนธรรม, ศาสนา, และเศรษฐศาสตร์ของเขา ที่ใช้ชื่อว่า It’s Not the End of the World – It’s Just the End of You ก็ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Van Praag Press ในฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน เขายังเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตราสารหนี้ทั่วโลก ให้กับ Bank of America และเคยดำรงตำแหน่งอาวุโสในบริษัทการเงินอื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมทั้งที่ Reorient Group (Hong Kong) ซึ่งเขาเป็นกรรมการจัดการผู้หนึ่งอยู่ในปัจจุบัน
Markets don’t like national suicide: Spengler
BY DAVID P. GOLDMAN
29/06/2015
ในทางการเงินแท้ๆ แล้ว ถ้ากรีซจะล้มละลายไปทั้งประเทศ ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่มากเท่าใดนัก เนื่องจากนักลงทุนภาคเอกชนเป็นผู้ถือหนี้สินของประเทศนี้อยู่เพียงแค่ 17% ขณะที่เศรษฐกิจของกรีซก็เล็กมากคิดเป็นเพียงแค่เท่ากับ 2% ของยูโรโซน หากมองกันด้วยแง่มุมทางการเมือง การที่ระบบการเงินของกรีซพังครืนลงมาในวันนี้ บางทีอาจจะเป็นผลบวกด้วยซ้ำ เพราะกรีซจะได้ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างอันน่าสยดสยอง ให้แก่ประดาประเทศซึ่งมีความโน้มเอียงทำนองเดียวกันที่จะเลือกตั้งเอาพวกนักประชานิยมผู้เก่งกาจในการปลุกระดมมวลชนแต่ปฏิเสธไม่ยอมยึดถือความเป็นจริง ขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง
เมื่อพิจารณากันเพียงในแง่การเงินแท้ๆ แล้ว ถ้าหากประเทศกรีซจะล้มละลายไป ก็ยังคงถือว่ามีความสำคัญไม่มากเท่าไรนัก พวกนักลงทุนภาคเอกชนเป็นเจ้าของถือครองหนี้สินของประเทศนี้อยู่เพียงแค่ 17% แถมส่วนใหญ่ของเจ้าหนี้เหล่านี้ยังเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ซึ่งสามารถแบกรับการขาดทุนขนาดนี้ได้อยู่แล้ว สำหรับอีก 62% นั้นเป็นหนี้สินที่กรีซติดค้างพวกรัฐบาลในเขตยูโรโซน และอีก 10% เป็นหนี้ซึ่งติดไอเอ็มเอฟ เศรษฐกิจของกรีซนั้นคิดเป็นเพียงเท่ากับแค่ 2% ของเศรษฐกิจยูโรโซน
มองกันด้วยแง่มุมทางการเมืองแล้ว การที่ระบบการเงินของกรีซจะปิดตัวล้มครืนลงไปในวันนี้ บางทีอาจจะเป็นผลบวกด้วยซ้ำ เพราะกรีซจะได้ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างอันน่าสยดสยอง ให้แก่ประดาประเทศซึ่งมีความโน้มเอียงทำนองเดียวกัน ที่จะเลือกตั้งเอาพวกนักประชานิยมผู้เก่งกาจในการปลุกระดมมวลชนแต่ปฏิเสธไม่ยอมยึดถือความเป็นจริง ขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง แน่นอนทีเดียว ประชาชนชาวกรีกจะต้องทนลำบากทุกข์ยากสำหรับบาปกรรมที่พวกเขาก่อขึ้นมาด้วยการให้ความสนับสนุนพรรคไซรีซา (Syriza) ซึ่งผมมองว่าเป็นเพียงคณะตัวตลกฝ่ายซ้าย ที่ชวนให้ระลึกย้อนไปถึงภาพเขียนบนกำแพงตึกในยุคปี 1968 ภาพหนึ่ง ซึ่งมุ่งยั่วล้อกระแสฝ่ายซ้ายมาร์กซิสต์ที่กำลังเฟื่องฟูโดยเฉพาะในฝรั่งเศสเวลานั้น ภาพดังกล่าวเขียนบรรยายว่า “I’m a Marxist (Groucho faction). (ผมเป็นมาร์กซิสต์ แต่เป็นมาร์กซิสต์ฝ่ายกรูโชนะครับ ทั้งนี้ กรูโช มาร์กซ์ Groucho Marx เป็นนักแสดงตลกชื่อดังในสหรัฐฯ -ผู้แปล)
นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ตลาดเกิดความวิตกกังวลอะไรนักหนาอยู่แล้ว
ในโลกเรานี้ ชาติต่างๆ สามารถฆ่าตัวตายได้ และก็มีชาติที่ฆ่าตัวตายกันจริงๆ ด้วยนะครับ มันมีอยู่เรื่อยๆ แหละ ถ้าหากประเทศกรีซสามารถเลือกที่จะฆ่าตัวตาย ชาติอื่นๆ ก็สามารถทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน เวลานี้ยังมีชาติอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งขนาดของเศรษฐกิจใหญ่โตกว่ากรีซ แต่ก็กำลังต้องดิ้นรนกันหนักอยู่ภายใต้เงาทะมึนของภาระหนี้สินอันมหึมามโหฬาร ตัวอย่างเช่น บราซิล และ ตุรกี ทั้งนี้ยังไม่ต้องเอ่ยถึงพวกชาติในยุโรปใต้รายอื่นๆ ชาวกรีกนั้นเลือกที่จะเดินไปจนถึงสุดขอบ โดยทึกทักเอาว่ามันจะเป็นวิธีซึ่งบีบบังคับให้พวกผู้เสียภาษีชาวเยอรมัน ต้องยินยอมชำระบิลที่เกิดขึ้นมาจากความสุรุ่ยสุ่ร่ายและความไม่เอาถ่านไร้ประสิทธิภาพของพวกเขาอีกคำรบหนึ่ง ทว่าในหนนี้พวกเขากลับต้องก้าวเดินจนกระทั่งตกขอบไปเลย
ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคตข้างหน้า พวกประเทศยุโรปทั้งหมดจะต้องเผชิญกับภาวะไม่มีเงินทองสำหรับใช้อุดหนุนระบบบำนาญต่างๆ ของพวกเขาอย่างแน่นอน เนื่องจากภายในปี 2050 ประชากรของพวกเขาถึงราวครึ่งหนึ่งทีเดียวจะกลายเป็นผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นๆ ทั้งนี้ตามฐานข้อมูลของ “ทิศทางแนวโน้มประชากรโลก” ของสหประชาชาติ (UN World Population Prospects)
เวลาดังกล่าวนี้สามารถที่จะผลักให้ถอยไกลออกไปอีกได้ ด้วยวิธีการปรับเพิ่มอายุผู้ที่จะถึงวัยเกษียณ (การกระทำเช่นนี้ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุมีผล เนื่องจากประชากรสูงอายุเวลานี้มีสุขภาพที่ดีกว่าในอดีต) และด้วยการยอมรับผู้อพยพเข้ามาจากต่างแดน (ถึงแม้มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า ต้นแหล่งของผู้อพยพมีทักษะที่จะเดินทางเข้ามายังยุโรป –อันได้แก่ ยุโรปตะวันออก, ตุรกี, อิหร่าน, ละตินอเมริกา— ก็กำลังมีจำนวนผู้มีทักษะลดน้อยลงทุกที)
สำหรับเศรษฐกิจของกรีซนั้น มันเป็นเพียงแค่เรื่องตลกๆ ไม่ได้มีความจริงจังอะไรเลย เวลานี้ประเทศกรีซแทบไม่ได้ส่งออกอะไรนอกไปจากพวกผลิตภัณฑ์อาหารและฝ้าย ขณะที่ไม่สามารถยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้รุ่งเรืองยิ่งไปกว่าที่เป็นอยู่นี้แล้ว ในเวลาเดียวกัน การหลบหนีหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีกลับถือเป็นความบันเทิงเริงรมย์ประจำชาติทีเดียว ว่ากันว่าจำนวนของผู้เสียภาษีจริงๆ มีน้อยกว่าจำนวนเจ้าหน้าที่สรรพากรซึ่งพยายามตามเก็บตามล่าภาษีเสียอีก ในเรื่องการเข้าร่วมใช้สกุลเงินยูโรนั้น ตั้งแต่แรกเลยกรีซโกหกเรื่องขนาดจีดีพีของตนเองเพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในยูโรโซนด้วย (ดูรายละเอียดได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Greek_Financial_Audit,_2004) หลังจากนั้นประชาชนชาวกรีกก็ออกเสียงลงคะแนนพียงเพื่อให้พวกเขาเองได้ร่ำรวยฟุ่มเฟือย มีการอาศัยสถานะของการอยู่ในยูโรโซนไปหาทางกู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่ายกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ระดับค่าจ้างแท้จริงของกรีซก็ขยับขึ้นลิ่วในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ 2000
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐสวัสดิการของชาวกรีก กลับกลายมาเป็นสิ่งที่เข่นฆ่าพวกเขาเอง ในยุคศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล นักประวัติศาสตร์ ทิวซิดิดีส (Thuycicides) และนักเขียนบทละครชวนหัวผู้ยิ่งใหญ่ อริสโตฟานีส (Aristophanes) ได้ยั่วล้อเย้ยเยาะระบอบประชาธิปไตยของนครรัฐเอเธนส์ในระหว่างที่เกิดสงครามเพโลพอนนีเชียน (Pelopponesian war สงครามในปี 431 ถึง 404 ก่อนค.ศ. ระหว่างเอเธนส์กับสันนิบาตเพโลพอนนีเชียน ที่นำโดย สปาร์ตา) อริสโตฟานีสนั้นเย้ยหยันระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์ว่าเป็นรัฐสวัสดิการที่ตะกละละโมบ ซึ่งพวกชนชั้นนำคอยผลักดันแผนการฟังดูเลิศเลอต่างๆ เพื่อติดสินบนเอาอกเอาใจฝูงชนผู้ออกเสียง ผมได้เขียนเกี่ยวกับสภาวการณ์นี้เอาไว้ในหนังสือเรื่อง “How Civilizations Die” ของผมเมื่อปี 2011 ดังนี้:
แทนที่จะเป็นกลุ่มชนชาวนารายย่อยผู้มีทรัพย์สินเพียงเล็กๆ น้อยๆ ชาวเอเธนส์ในยุคศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล และชาวโรมันได้ในยุคศตวรรษที่ 1 ได้กลายเป็นทหารและนายทาส ข้าวปลาอาหารที่บำรุงเลี้ยงเอเธนส์ในยุคเพลิคลีส ( Periclean Athens อยู่ในช่วงประมาณกลางศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล จนถึงช่วงเริ่มสงครามเพโลพอนนีเชียน ข้อมูลจาก Wikipedia -ผู้แปล) นั้นประมาณครึ่งหนึ่งทีเดียวเป็นของนำเข้า และชำระค่าข้าวปลาอาหารเหล่านี้ด้วยส่วยสาอากรเครื่องบรรณาการซึ่งเก็บมาจากบรรดานครที่เป็นเมืองขึ้น และทันทีที่ข้อผูกมัดจำกัดของสังคมแบบดั้งเดิมเกิดการพังครืนลงไป ชาวเอเธนส์เหล่านี้ก็ยุติการเลี้ยงดูบุตรกันทีเดียว
ตัวละครตัวหนึ่งในละครสุขนาฏกรรมเรื่อง “The Wasps” (ของอริสโตฟานีส) กล่าวเตือน (ว่า พวกผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยของเอเธนส์นั้น) “เป็นพวกที่ใช้วิธีข่มขู่กรรโชกคอยรีดไถเงินครั้งละ 50 ทาเลนต์จากพวกพันธมิตร”
“จ่ายส่วยให้ข้า” พวกเขาบอก “ไม่ยังงั้นข้าก็จะปล่อยสายฟ้าผ่าไปที่เมืองของพวกเอ็ง ทำลายเมืองของพวกเอ็งเสีย”
ส่วนพวกเจ้า เจ้าเป็นพวกที่พออกพอใจกับการกัดแทะพลังอำนาจของพวกเจ้าเองไปทีละน้อยๆ
แล้วพวกพันธมิตรล่ะทำอะไร? พวกเขาก็กำลังมองเห็นฝูงชนชาวเอเธนส์ที่มีชีวิตอยู่ด้วยเครื่องบรรณาการ โดยต้องใช้จ่ายอย่างขี้ตืดและน่าสังเวชนะซี...”
ทิวซีดิดีส ผู้จดบันทึกเรื่องราวของสงครามเพโลพอนนีเชียน เล่าถึงเรื่องราวอย่างเดียวกันกับอริสโตฟานีส เขาประณามกล่าวโทษการที่ชาวเอเธนส์ไปทำสงครามและประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับในดินแดนซิซีลีระหว่างปี 415 – 413 ก่อนคริสตกาล ตลอดจนการที่สปาร์ตาสามารถหยามหมิ่นสร้างความอับอายให้แก่นครรัฐของเขาได้ในท้ายที่สุด ว่ามีสาเหตุมาจากการที่ชาวเอเธนส์ปรารถนาแต่จะได้ข้าวของล้ำค่าที่สามารถแย่งชิงปล้นสะดมมา ระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์นั้นลงคะแนนให้เข้าโจมตีนครซีราคิวส์ (Syracuse) บนเกาะซิซีลี ทั้งๆ ที่เป็นนครรัฐซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเหมือนๆ กัน โดยอ้างเหตุผลซึ่ง “เมื่อดูเพียงแค่เปลือกนอก ดูเหมือนสมเหตุสมผล ทว่าในความเป็นจริงแล้วกำลังมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้าพิชิตทั่วทั้งซิซีลีทีเดียว … ทั้งมวลชนโดยทั่วไปและทั้งตัวทหารแต่ละคนโดยเฉลี่ย ต่างมองเห็นว่าเป็นลู่ทางโอกาสที่จะได้รับเงินค่าจ้างไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเป็นการเพิ่มเติมพอกพูนให้แก่จักรวรรดิ เพื่อที่พวกเขาเองจะได้รับหลักประกันว่าจะได้รับการจ่ายค่าจ้างอย่างมั่นคงถาวรต่อไปในอนาคตข้างหน้า”
พวกเราเที่ยวเล่าให้ลูกหลานฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของเอเธนส์ซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แสนดีงาม และสปาร์ตาซึ่งเป็นระบอบคณาธิปไตยที่แสนชั่วร้าย โดยแกล้งๆ ทำเป็นหลงลืมไปว่าในระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์นั้น ฝูงชนชาวเอเธนส์ได้ผลักดันให้จักรวรรดิขยายตัวออกไปอย่างบุ่มบ่ามไร้ความยั้งคิด และก่อให้เกิดความพินาศหายนะในท้ายที่สุด เหมือนอย่างที่ อเล็กซิส เดอ ท็อกเกอร์วิลล์ (Alexis De Toqueville) ได้กล่าวเตือนไว้ในอีก 2,300 ปีให้หลังว่า ความเสี่ยงของระบอบประชาธิปไตยก็คือ ประชาชนจะเอาแต่โหวตให้พวกตนเองได้มั่งคั่งฟุ่มเฟือย
ไม่ใช่มีเพียงเฉพาะชาวกรีกเท่านั้นหรอกที่กำลังหยุดทำงาน ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่กำลังทำงานกันอยู่เวลานี้มีไม่ถึง 70% แล้วจากที่เคยอยู่ในระดับ 87% เมื่อปี 1950 แล้วคนเหล่านี้ทำอย่างไรในการเลี้ยงชีพตนเอง? ก็เป็นอย่างที่ นิโคลัส อีเบอร์สตัดต์ (Nicholas Eberstadt) รายงานเอาไว้นั่นแหละ “ในปี 2010 ครัวเรือนชาวอเมริกันกว่า 34% เป็นผู้ที่ได้รับสวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อย –ครัวเรือนเหล่านี้ครอบคลุมประชากรเด็กๆ ร่วมๆ ครึ่งหนึ่งของอเมริกาทีเดียว”
ในระยะสั้น บางทีตัวอย่างของกรีซอาจจะมีอิทธิพลในทางสยบลัทธิประชานิยม แต่ในระยะยาวไกลกว่านั้น ความขมขื่นเคียดแค้นของพวกที่คอยอาศัยเกาะกินคนอื่นๆ อาจจะเป็นภัยคุกคามถึงโครงสร้างทางการเมืองของสหรัฐฯตลอดจนของยุโรปตะวันตก ขณะเดียวกัน ความล้มเหลวของลัทธิประชานิยมที่หล่อเลี้ยงด้วยหนี้สินในบรรดาประเทศโลกที่สาม ก็จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดวิกฤตทำนองเดียวกันนี้ขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ของโลก
กรีซจึงยังไม่ใช่ของจริง มันเป็นเพียงการซักซ้อมครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ก็เป็นการซักซ้อมสำหรับของจริงที่ใหญ่โตและมีอันตรายร้ายแรงยิ่ง ซึ่งอาจจะปะทุขึ้นมาในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้
เดวิด พี. โกลด์แมน เขียนเรื่องให้เอเชียไทมส์โดยใช้นามปากกาว่า “สเปงเกลอร์” (Spengle) มาตั้งแต่ปี 2000 เขาเป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่ London Center for Policy Research และเป็น Wax Family Fellow อยู่ที่ Middle East Forum หนังสือเรื่อง How Civilizations Die (and why Islam is Dying, Too) ของเขา ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Regnery Press ในเดือนกันยายน 2011 หนังสือรวมข้อเขียนทางด้านวัฒนธรรม, ศาสนา, และเศรษฐศาสตร์ของเขา ที่ใช้ชื่อว่า It’s Not the End of the World – It’s Just the End of You ก็ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Van Praag Press ในฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน เขายังเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตราสารหนี้ทั่วโลก ให้กับ Bank of America และเคยดำรงตำแหน่งอาวุโสในบริษัทการเงินอื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมทั้งที่ Reorient Group (Hong Kong) ซึ่งเขาเป็นกรรมการจัดการผู้หนึ่งอยู่ในปัจจุบัน