เอเอฟพี - “ซีลทีม 6 (SEAL Team 6)” หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่เด็ดหัวอุซามะห์ บิน ลาดิน ได้พัฒนาสู่หน่วยล่าสังหารระดับโลกไปแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ก่อคำถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบขององค์กรแห่งนี้ที่ถูกแฉว่าบางครั้งก็กระทำการเกินกว่าขอบเขต หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานเมื่อวันอาทิตย์ (7 มิ.ย.)
ข้อมูลของนิวยอร์กไทม์สระบุว่า หน่วยซีลแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ เติบโตทั้งด้านขนาดและความสำคัญนับตั้งแต่โศกนาฏกรรม 9/11 โดยปฏิบัติการจู่โจมสร้างความอ่อนแอแก่เครือข่ายกองกำลังติดอาวุธนับพันแห่ง อย่างเช่นในอัฟกานิสถานและโซมาเลีย
นิวยอร์กไทม์สอ้างข้อมูลจากการสัมภาษณ์ทั้งอดีตและสมาชิกปัจจุบันของหน่วยซีลทีม 6 เผยว่าพวกเขาต่อสู้เคียงข้างหน่วยปฏิบัติการกึ่งทหารของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) โดยจะปฏิบัติภารกิจจากเรือสายลับที่อำพรางตัวเป็นเรือสินค้า และคอยจับตามองเป้าหมายน่าสงสัยต่างๆ ในฐานะสายลับที่แฝงตัวอยู่ในสถานทูตต่างๆ ของอเมริกา
“จากครั้งหนึ่งที่เป็นแค่กลุ่มเล็กๆถูกสำรองไว้สำหรับปฏิบัติภารกิจพิเศษที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก แต่หน่วยนี้ที่สร้างชื่อเสียงจากการจู่โจมลอบสังหารอุซามะห์ บิน ลาดิน ได้เปลี่ยนจากการหน่วยสู้รบกลายเป็นหน่วยล่าสังหารระดับโลกไปแล้ว” นิวยอร์กไทม์สระบุ
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็มีชื่อเสียงในด้านไม่ดี เนื่องจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษทีมนี้ยังคงเป็นองค์กรลับที่สุดและถูกตรวจสอบน้อยที่สุดในกองทัพสหรัฐฯ ขณะเดียวกันปฏิบัติการของพวกเขาก็ก่อความกังวลต่อการสังหารเป้าหมายเกินขอบเขตและทำให้พลเมืองผู้บริสุทธิ์ต้องมาเสียชีวิตอย่างเลยเถิด
ยกตัวอย่างเช่นในเหตุการณ์เมื่อปี 2012 แพทย์ชาวอเมริกันรายหนึ่งได้รับความช่วยเหลือพ้นเงื้อมมือพวกตอลิบานที่จับตัวเขาไป แต่ในขณะที่รู้สึกยินดีกับอิสรภาพ แพทย์รายนี้บอกกับนิวยอร์กไทม์สว่า หนึ่งในคนร้ายที่ลักพาตัวเขาถูกหน่วยซีลฆ่าตายหลังมีชีวิตรอดจากการจู่โจม และสุดท้ายพบว่าคนร้ายทั้ง 5 คนถูกสังหารทิ้งทั้งหมด
ปฏิบัติการยามค่ำคืนช่วยเหลือ ลินดา นอร์โกรฟ เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ชาวอังกฤษที่ถูกลักพาตัวในอัฟกานิสถาน จบลงด้วยความสูญเสียของตัวประกัน โดยเธอเสียชีวิตหลังถูกสมาชิกทีมซีลปาระเบิดเข้าใส่เนื่องจากคิดว่าเธอเป็นคนร้าย
รายงานของนิวยอร์กไทม์สระบุว่า ปี 2006 คือจุดเปลี่ยนสำคัญแห่งการปฏิวัติหน่วยซีล เมื่อ พล.ท.สเตนลีย์ แม็กคริสเติล มีคำสั่งเพิ่มบทบาทหน้าที่ให้กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพื่อกำจัดกลุ่มตอลิบาน โดยทีม 6 ถูกกำหนดให้เป็นผู้นำกองกำลังปฏิบัติการพิเศษดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่แค่ดำเนินการจู่โจมยามค่ำคืน แต่ยังร่วมสู้รบเป็นประจำมากขึ้นด้วย
หลายสัปดาห์ระหว่างปี 2006 ถึง 2008 หน่วยซีลสังหารเป้าหมายคืนละ 10 ถึง 15 คน และบางครั้งก็มากถึง 25 คน “การเข่นฆ่ากลายเป็นงานประจำของพวกเขาไปแล้ว” อดีตสมาชิกซีลทีม6บอกกับนิวยอร์กไทม์ส ขณะที่อดีตสมาชิกอีกคนเสริมว่า “สิ่งเลวร้ายกำลังดำเนินอยู่ หากถามผมว่ามีการเข่นฆ่ามากกว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ คำตอบคือใช่แน่นอน ผมคิดว่ามันเป็นแนวโน้มของสัญชาตญาณตอนที่มีภัยคุกคาม คือฆ่ามันซะ แต่ต่อมาคุณก็ตระหนักว่า โอ้ บางทีผมอาจประเมินภัยคุกคามเลยเถิดไป”