เอเอฟพี - เครือข่ายนักวิชาการในญี่ปุ่นเรียกร้องให้รัฐบาลนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ กล้าเผชิญหน้าและยอมรับผิดในเรื่อง “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” หลังจากเมื่อต้นเดือนนี้มีนักวิชาการต่างประเทศยื่นจดหมายเปิดผนึกเตือนให้ญี่ปุ่นแสดงความสำนึกผิดอย่างตรงไปตรงมา
ในโอกาสครบรอบ 70 ปีแห่งการสิ้นสุดลงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิชาการจาก 16 สถาบัน รวมถึงสมาคมประวัติศาสตร์แห่งญี่ปุ่น (Historical Science Society of Japan) ชี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลแดนอาทิตย์อุทัยจะยอมรับว่าระบบทาสกามมีอยู่จริง ซึ่งจะยิ่งสนับสนุนคำประณามของจีนและเกาหลีใต้ที่ว่าโตเกียวพยายามทำเป็น “ความจำเสื่อม” เรื่องนี้มาโดยตลอด
“สตรีเพื่อการผ่อนคลายเหล่านั้นต้องตกเป็นทาสบำเรอกาม ซึ่งถือเป็นการล่วงละเมิดอย่างร้ายกาจ” กลุ่มสถาบันทั้ง 16 แห่งระบุในถ้อยแถลงร่วมวานนี้ (25 พ.ค.)
“จากการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานนี้ทำให้เราทราบว่า ผู้หญิงเหล่านั้นไม่เพียงถูกบีบบังคับให้ทำงาน แต่ยังตกอยู่ในสภาพของทาสบำเรอกาม ซึ่งถือเป็นการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”
“หากนักการเมืองและสื่อบางสำนักยังยืนยันที่จะปัดความรับผิดชอบ และปฏิเสธข้อเท็จจริงเกี่ยวกับระบบทาสกาม ท่านก็กำลังทำให้คนทั่วโลกมองญี่ปุ่นว่าเป็นประเทศที่ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน”
“เราขอเรียกร้องอีกครั้งให้นักการเมืองและสื่อที่เกี่ยวข้องกล้าเผชิญหน้ากับผู้เสียหาย และความทุกข์ทรมานที่ญี่ปุ่นเป็นผู้ก่อไว้”
นักวิชาการจากยุโรปและสหรัฐฯ หลายร้อยคน รวมถึงเจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ ได้เข้าชื่อในจดหมายเปิดผนึกที่ส่งถึงกรุงโตเกียวเมื่อต้นเดือนนี้ โดยเตือนให้ญี่ปุ่นรำลึกถึงความเจ็บปวดของหญิงสาวยากจนที่ถูกเกณฑ์เข้าระบบทาสกามในดินแดนที่ญี่ปุ่นเข้าไปปกครองหรือยึดเป็นอาณานิคม
นักประวัติศาสตร์กระแสหลักเชื่อว่า มีสตรีในเกาหลี จีน อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ ในเอเชียราว 200,000 คนที่ถูกบังคับเป็นโสเภณีบำบัดความใคร่แก่ทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ดี พวกชาตินิยมขวาจัดในญี่ปุ่นกลับอ้างว่า ผู้หญิงเหล่านั้นเป็นเพียง “โสเภณีอาชีพ” ที่ทำงานแลกเงิน และไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันได้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีส่วนสนับสนุนระบบสตรีเพื่อการผ่อนคลาย อีกทั้งความทรงจำของผู้รอดชีวิตจากสงครามก็เชื่อถือมากไม่ได้
เสียงเรียกร้องจากกลุ่มนักวิชาการมีขึ้น ในขณะที่ อาเบะ กำลังเตรียมร่างสุนทรพจน์สำหรับพิธีรำลึกครบ 70 ปีแห่งการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทุกฝ่ายต่างจับจ้องรอดูว่า นายกฯ หัวชาตินิยมจัดผู้นี้จะยอมกล่าวขออภัยอย่างชัดเจนต่อความผิดยุคสงคราม อย่างที่อดีตผู้นำญี่ปุ่นคนก่อนๆ เคยทำมาหรือไม่