เอเจนซีส์ - สายการบินลุฟท์ฮันซ่าเปิดปากยอมรับเมื่อวันอังคาร (31 มี.ค.) ว่า นักบินผู้ช่วยที่นำเครื่องบินเยอรมันวิงส์พุ่งชนเทือกเขาแอลป์จนผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตยกลำ 150 คน เคยแจ้งผู้บังคับบัญชาของตนในโรงเรียนฝึกนักบินของสายการบินว่า เข้ารับการรักษาอาการซึมเศร้ารุนแรงเมื่อปี 2009 การเปิดเผยเช่นนี้ยิ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับระบบในการตรวจสอบความพร้อมของนักบิน รวมทั้งความเหมาะควรของกฎหมายรักษาความลับคนไข้ในเยอรมนี ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สื่อเมืองเบียร์และแดนน้ำหอมได้เผยแพร่คลิปวิดีโอซึ่งอ้างว่าได้จากโทรศัพท์มือถือของผู้โดยสารบนเครื่องและแสดงถึงนาทีสุดท้ายก่อนแอร์บัส เอ 320 ลำนี้จะดิ่งสยอง
การเปิดเผยยอมรับคราวนี้ อาจสร้างความเสียหายให้แก่ของลุฟท์ฮันซ่า ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินโลว์คอสต์ “เยอรมันวิงส์” รวมทั้ง คาร์สเทน สปอห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของลุฟฮันซา ที่บอกกับผู้สื่อข่าวในสัปดาห์ที่แล้วว่า ทางสายการบินไม่ทราบเหตุผลว่าทำไม อันเดรียส ลูบิตซ์ นักบินผู้ช่วยวัย 27 ปีผู้นี้ จึงจงใจที่จะบังคับเครื่องบินโหม่งโลกเช่นนี้
ข้อเท็จจริงที่ว่า เจ้าหน้าที่ลุฟท์ฮันซ่าหลายรายตระหนักดีว่า ลูบิตซ์ เจ็บป่วยด้วยอาการซึมเศร้า ยังก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับกระบวนการในการคัดกรองนักบิน ตลอดจนทำให้สายการบินอาจเผชิญกับการฟ้องร้องจากญาติๆ ของเหยื่อที่ต้องเสียชีวิตไป
ลุฟท์ฮันซ่าบอกว่า ลูบิตซ์ได้หยุดการฝึกเป็นนักบินไปเป็นเวลาหลายเดือน แต่หลังจากกลับมาฝึกใหม่ในปี 2009 เขาได้ส่งเอกสารทางการแพทย์ให้แก่ทางโรงเรียน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาได้ผ่าน “ช่วงเวลาแห่งอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง” แล้วต่อจากนั้นเขาก็สามารถผ่านการตรวจทางการแพทย์ ซึ่งยืนยันผลว่าเขามีความพร้อมที่จะขับเครื่องบินได้
ในคำแถลงเมื่อวันอังคาร สายการบินรายใหญ่ที่สุดของเยอรมนีแห่งนี้กล่าวด้วยว่า ได้ส่งข้อมูลเพิ่มเติม โดยเฉพาะเอกสารการรักษาพยาบาลและการฝึกของลูบิตซ์ให้แก่คณะอัยการในเมืองดุสเซลดอร์ฟ เยอรมนีแล้ว หลังจากทำการตรวจสอบภายในเพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้ คือในวันจันทร์ (30 มี.ค.) อัยการดุสเซลดอร์ฟเผยว่า ลูบิตซ์เคยเข้ารับการบำบัดแนวโน้มการฆ่าตัวตาย ก่อนได้รับใบอนุญาตนักบิน
อย่างไรก็ตาม ราล์ฟ เฮอร์เรนบรูก โฆษกสำนักงานอัยการดุสเซลดอร์ฟเสริมว่า แพทย์ไม่พบสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ลูบิตซ์ต้องการทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น และหลังจากได้เป็นนักบิน อาการของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ บุคคลผู้คุ้นเคยกับกรณีนี้รายหนึ่งได้เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ถึงแม้ ลูบิตซ์ ผ่านการตรวจและได้รับใบอนุญาตให้เป็นนักบินในที่สุด แต่ในใบอนุญาตของเขามีข้อความซึ่งระบุว่าเขามีอาการเจ็บป่วยบางอย่าง
ทว่าตามกฎหมายรักษาความลับในระหว่างแพทย์กับคนไข้ของเยอรมนี ทำให้ลุฟท์ฮันซาที่อยู่ในฐานะนายจ้าง ไม่สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาวะความเจ็บป่วยของลูกจ้างได้
ลุฟท์ฮันซ่าแถลงว่า ในการตรวจร่างกายประจำปีครั้งล่าสุดของเขา คณะแพทย์ที่ทำการตรวจ ได้ให้ลูบิตซ์ผ่านการทดสอบความพร้อมในการขับเครื่องบิน
อย่างไรก็ดี จากหลักฐานที่ตรวจพบในอพาร์ตเมนต์ของเขาภายหลังเกิดโศกนาฏกรรมคราวนี้ขึ้นมาแล้ว แสดงให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ลูบิตซ์ยังคงเข้ารับการบำบัดจากนักประสาทวิทยาและจิตแพทย์ และได้รับเอกสารรับรองการลางานหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงในวันเกิดเหตุคือวันที่ 24 เดือนที่ผ่านมา โดยในเอกสารดังกล่าวที่ถูกฉีกทิ้งนั้น แพทย์ระบุว่า ลูบิตซ์มีอาการป่วยและควรหยุดปฏิบัติหน้าที่
เยอรมันวิงส์ยืนยันว่า ไม่ได้รับเอกสารใดๆ จากลูบิตซ์ในวันที่เที่ยวบิน 4U9525 ที่ลูบิตซ์ปฏิบัติหน้าที่เป็นนักบินที่ 2 ตกในเทือกเขาแอลป์ของฝรั่งเศส ด้วยความเร็ว 700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 150 รายเสียชีวิตทันที
ลุฟท์ฮันซ่าได้จัดเตรียมงบประมาณรองรับความเสียหายจากเหตุการณ์นี้ 280 ล้านยูโร (300 ล้านดอลลาร์) ครอบคลุมค่าชดเชยแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต และค่าเครื่องโบอิ้ง A320 ที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ลำละ 93.9 ล้านดอลลาร์
โอลิเวอร์ วากเนอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของเยอรมันวิงส์แถลงว่า สายการบินจะจ่ายค่าชดเชยให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตทันทีครอบครัวละ 50,000 ยูโร ซึ่งจะไม่นำไปหักจากข้อตกลงชดเชยทางการเงินแต่อย่างใด
ลุฟท์ฮันซ่ายังประกาศยกเลิกการฉลองครบรอบ 60 ปีของสายการบินในเดือนหน้า เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิตในเที่ยวบิน 4U9525 นี้
ในอีกด้านหนึ่ง หนังสือพิมพ์บิลด์ ของเยอรมนี และนิตยสาร ปารีส แมตช์ ของฝรั่งเศส ได้รายงานเมื่อวันอังคาร (31 มี.ค.) โดยอ้างอิงคลิปวิดีโอที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของผู้โดยสารคนหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นภาพช่วงวินาทีสุดท้ายก่อนที่เครื่องบินของเยอรมันวิงส์ลำนี้จะตก
สื่อทั้ง 2 รายนี้ระบุว่าเป็นคลิปจากมือถือซึ่งกู้ได้จากซากเครื่องบินในจุดที่ตกบริเวณเทือกเขาแอลป์ซึ่งอยู่ในดินแดนฝรั่งเศส และและเป็นของจริงอย่าง “ไม่มีอะไรน่ากังขา”
ทั้งนี้ ภาพในคลิปสั่นไหวมาก มีเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนว่า “พระเจ้า” บ่งชี้ว่า ผู้โดยสารเพิ่งรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังได้ยินเสียงทุบโลหะอย่างน้อย 3 ครั้ง ซึ่งเป็นไปได้ว่าเป็นเสียงนักบินทุบประตูห้องนักบินและพยายามพังเข้าไป หลังจากที่ลูบิตซ์ที่อยู่ด้านในไม่ยอมเปิดให้
ภาพยิ่งสั่นไหวมากขึ้นและมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นก่อนที่คลิปจะสิ้นสุด โดยบิลด์รายงานว่า คลิปนี้น่าจะถ่ายจากด้านท้ายของเครื่อง
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา พ.ต.ท.ฌอง-มาร์ก เมนิชินี ของฝรั่งเศส ได้กล่าวกับโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นว่า ทางเจ้าหน้าที่สอบสวนไม่ได้เคยพบคลิปวิดีโอในโทรศัพท์มือถือใดๆ ตามที่เป็นข่าว และบอกว่ารายงานข่าวนี้ “ผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง” และ “ไม่น่าเชื่อถือ”
ขณะที่ บริซ โรแบง อัยการสอบสวนที่ดูแลคดีนี้ของฝรั่งเศส บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ว่า โทรศัพท์มือถือซึ่งรวบรวมจากจุดเครื่องบินตกนั้น ยังไม่ได้มีการส่งไปตรวจวิเคราะห์ และบอกว่า “(โทรศัพท์มือถือเหล่านี้) ทั้งหมดเวลานี้เก็บอยู่ที่แซน-เลส์-แอลป์ (หมู่บ้านที่อยู่ใกล้สถานที่แอร์บัส เอ 320 ลำนี้โหม่งโลก) แต่ถ้ามีใครที่เข้าไปจุดเกิดเหตุ หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา ผมก็ยังไม่รู้เรื่อง”
ส่วนสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า โรแบงยังเตือนด้วยว่า ใครก็ตามที่มีคลิปวิดีโอนี้ในครอบครอง “ต้องส่งมอบต่อเจ้าหน้าที่สอบสวนในทันที”