เม็กซิโกจับเจ้าพ่อแก๊ง “เซตาส” ค้ายาเสพติดตัวบิ๊ก หลังรวบหัวหน้ากลุ่มค้ายา “ไนท์ส เทมพลา”

เอเจนซีส์ - ตำรวจและทหารเม็กซิกันผสานกำลังเข้าจับกุม โอมาร์ เทรวิโน โมราเลส (Omar Treviño Morales) หัวหน้ากลุ่มค้ายาเสพติด “เซตาส” (Zetas) ที่เลื่องชื่อ เป็นผลงานล่าสุดกำนัลแด่ประธานาธิบดีเม็กซิโก เอนริเก เปนา นีเอโต หลังจากไม่ถึงสัปดาห์ได้จับกุมเซอร์วานโด โกเมซ (Servando Gomez) หัวหน้ากลุ่ม “ไนต์ส เทมพลาร์” (Knights Templar) ค้ายาระดับชาติ

เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ (4) ว่า โอมาร์ เทรวิโน โมราเลส (Omar Treviño Morales) น้องชายของ มิเกล แองเจิล เทรวิโน ( Miguel Angel Trevino) อดีตหัวหน้ากลุ่มค้ายาเสพติด “เซตาส” (Zetas) ถูกเจ้าหน้าที่กองทัพเม็กซิโกซึ่งสนธิกำลังร่วมกับตำรวจจับตัวได้ที่เมืองมอนเทอร์เรย์ (Monterrey) ทางเหนือของประเทศในช่วงเช้าตรู่ของวันพุธ (4) แหล่งข่าวรัฐบาลเม็กซิกันเผย

ในการจับกุมของเทรวิโน เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากทางการเม็กซิโกสามารถจับกุมเซอร์วานโด โกเมซ (Servando Gomez) หัวหน้ากลุ่ม “ไนต์ส เทมพลาร์” (Knights Templar) ค้ายาระดับชาติ ซึ่งทางรัฐบาลเม็กซิโกเสนอรางวัลนำเทรวิโนพร้อมอาวุธจับถึง 30 ล้านเปโซ หรือ 2 ล้านดอลลาร์ และตั้งข้อหาอาชญากรรมองค์กร นอกจากนี้ก่อหนน้านี้สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา (DEA) ได้เสนอสินบนนำจับถึง 5 ล้านดอลลาร์ในการจับกุมหัวหน้ากลุ่มเซตา ในข้อกล่าวหาลักลอบค้ายาเสพติด แต่ให้รายชื่อ “โอมาร์” เป็นนามแฝง และชื่อตัวคือ อาเลฮันโดร (Alejandro) แทน

สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ต้องหาเป็นน้องชายของมิเกล แองเจิล เทรวิโน ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มค้ายาเสพติดที่กระหายเลือดและโหดร้ายมากที่สุด และเซตาสถือเป็นกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงมากที่สุดในเม็กซิโก

มิเกล แองเจล ถูกจับกุมได้ในเดือนกรกฎาคม 2013 เกือบจะ1ปีที่ทหารนาวิกโยธินเม็กซิกันได้สังหารแกนนำระดับสูงของกลุ่มเซตาสอีกคนคือ เฮริเบอร์โต ลาซคาโน (Heriberto Lazcano) หรือที่รู้จักในนาม “เอล ลาซคา” (El Lazca)

และพบว่ากลุ่มเซตาสก้าวขึ้นมาสู่อำนาจเป็นบิ๊กในบรรดากลุ่มค้ายาเสพติดด้วยความรุนแรง ป่าเถื่อน และต่อสู้กับกลุ่มยาเสพติดกัฟ (Gulf cartel) คู่อริทั่วทางเหนือของเม็กซิโก โดยบรรดาเหตุการณ์ที่ป่าเถื่อนซึ่งเป็นฝีมือของกลุ่มค้ายาเซตาสคือ การฆาตกรรมหมู่คนงานผู้อพยพหลายสิบคน รวมไปถึงการลอบเผาวางเพลิงกาสิโนมอนเทอร์เรย์ในปี 2011 ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 52 คน และรวมไปถึงทิ้งศพที่ไร้ศีรษะจำนวน 49 ศพใกล้กับเมืองเดียวกันในปี 2012