เอเอฟพี - จูเลีย บิชอป รัฐมนตรีกระทรวงการประเทศออสเตรเลียเรียกร้องให้อินโดนีเซีย “งดการบังคับคดีอย่างไม่มีกำหนด” ให้นักโทษประหารชาวออสเตรเลีย 2 คน ขณะที่เธอชี้แจงเรื่องความคิดเห็นของนายกรัฐมนตรีที่เชื่อมโยงเรื่องชะตากรรมของพวกเขากับการให้ความช่วยเหลือ สื่อรายงานวันนี้ (21 ก.พ.)
ความตึงเครียดระหว่างสองชาติได้เพิ่มสูงขึ้นหลังจากอินโดนีเซียยืนยันว่า แอนดรูว์ ชาน และ มูราน สุขุมาราน สองหัวหน้าแก๊งลักลอบค้าเฮโรอีนที่ชื่อว่า “บาหลี ไนน์” อยู่ในหมู่นักโทษกลุ่มต่อไปที่จะถูกยิงเป้า
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ แห่งออสเตรเลียปฏิเสธว่าไม่ได้ข่มขู่แดนอิเหนา หลังจากที่เขากล่าวว่าอินโดนีเซียน่าจะระลึกถึงความช่วยเหลือที่แดนจิงโจ้เคยเอื้อเฟื้อให้หลังจากภัยพิบัติสึนามิปี 2004 ที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
บิชอบกล่าวว่า เธอโทรศัพท์หารองประธานาธิบดียูซุฟ คัลลา เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับความคิดเห็นของแอ็บบอตต์ และได้เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างออสเตรเลียและอินโดนีเซีย
“ดิฉันชี้แจงเรื่องดังกล่าวอย่างแจ่มชัดแล้วว่า ท่านนายกรัฐมนตรีเพียงกำลังอธิบายถึงประเด็นที่ว่า ออสเตรเลียเคยเป็นและยังคงเป็นผู้สนับสนุนและเพื่อนสนิทของอินโดนีเซีย” บิชอบ บอกกับบริษัทสถานีวิทยุและโทรทัศน์ออสเตรเลีย (เอบีซี)
“ความคิดเห็นเหล่านั้นไม่ได้เป็นความพยายามที่จะข่มขู่อินโดนีเซียอย่างแน่นอน” เธอกล่าว
ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติเพื่อนบ้านพึ่งจะฟื้นฟูกลับมาจากรอยร้าวในปี 2014 จากเรื่องการเปิดโปงการสอดแนมและการลักลอบอพยพผู้คน
เจ้าหน้าที่ของคัลลา กล่าวเมื่อวันศุกร์ (20) ว่า การประหารชีวิตรอบสุดท้าย “จะถูกเลื่อนออกไปจากตอนนี้ประมาณ 3 สัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน ด้วยเหตุผลทางเทคนิค” โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม
บิชอบ แสดงความรู้สึกขอบคุณของเธอที่มีการเลื่อนเวลาในแผนเคลื่อนย้ายชายทั้งสองจากบาหลีไปยังเรือนจำความปลอดภัยสูง ที่ซึ่งพวกเขามีกำหนดจะถูกประหารชีวิต และบอกกับหนังสือพิมพ์ ซิดนีย์ มอร์นิง เฮรัลด์ ว่า “ดิฉันหวังว่าเราจะสามารถหาทางให้มีการงดบังคับโทษคดีอย่างไม่มีกำหนดได้”
อย่างไรก็ตาม มูฮัมหมัด ปราเซตโย อัยการสุงสุดของอินโดนีเซีย ประกาศก่อนหน้านั้นในวันศุกร์ (21) ว่า “จะไม่มีอะไร” สามารถมาหยุดยั้งไม่ให้การประหารชีวิตสองนักโทษชาวออสเตรเลียดำเนินต่อไปได้
อินโดนีเซียทำการประหารชีวิตนักโทษยาเสพติดแล้ว 6 คนในเดือนมกราคมซึ่งรวมถึงชาวต่างชาติ 6 คน ทำให้บราซิลและเนเธอแลนด์ ซึ่งมีพลเมืองอยู่ในหมู่ผู้ที่รับโทษประหาร ตอบสนองอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยการเรียกเอกอัครราชทูตประจำแดนอิเหนาของพวกเขากลับประเทศ