เอพี - ย้อนรอยโศกนาฏกรรมเที่ยวบิน 447 ของแอร์ฟรานซ์ที่สูญหายไปในมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อ 6 ปีที่แล้ว มีหลายอย่างหลายสิ่งละม้ายคล้ายกรณีเที่ยวบิน 8501 ของแอร์เอเชีย ซึ่งตกลงสู่ทะเลชวาช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อาทิ เครื่องบินหล่นจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ และถูกกลืนหายลงสู่ใต้ท้องน้ำอย่างรวดเร็วพอกัน ทั้งนี้ในกรณีแอร์ฟรานซ์นั้น มีข้อสรุปออกมาประการหนึ่งว่า ไม่อาจพึ่งพาระบบอัตโนมัติเพียงถ่ายเดียว แต่ตัวผู้เป็นนักบินต้องมีทักษะและสติในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน
นานาชาติต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปีในการตามหากล่องดำจากเที่ยวบิน 447 ของแอร์ฟรานซ์ ที่บินจากริโอเดอจาเนโร, บราซิล มุ่งหน้าสู่ปารีส, ฝรั่งเศส แต่ตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2009 และเหตุการณ์นี้อาจเป็นเบาะแสสำหรับสืบค้นความบกพร่องผิดพลาดอันนำไปสู่โศกนาฏกรรมของแอร์เอเชีย เที่ยวบิน 8501 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา
สิ่งที่เหมือนกันของสองเที่ยวบินนี้คือ บินด้วยเครื่องบินแอร์บัส ผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด บินเข้าสู่พายุก่อนขาดการติดต่อ และนักบินคิดว่า การเพิ่มระดับการบินจะช่วยให้พ้นจากสภาพอากาศเลวร้าย
ในกรณีแอร์ฟรานซ์มีหลายปัจจัยด้วยกันที่ทำให้เครื่องบินตก ได้แก่ นักบิน 3 คนของเครื่องแอร์บัส เอ330 สับสนกับข้อมูลความเร็วของเครื่องบิน หลังจากอุปกรณ์เซ็นเซอร์สำคัญๆ หลายตัวถูกน้ำแข็งจับ รวมทั้งหลังจากเผชิญสภาพอากาศปั่นป่วนมายาวนาน 25 นาที ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและระบบควบคุมกำลังเครื่องยนต์อัตโนมัติก็ถูกตัดการทำงาน และนักบินที่ควบคุมเครื่องเริ่มนำเครื่องบินไต่ระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้นักบินที่ 2 ในห้องนักบินขอให้ลดระดับการบินลงก็ตาม
90 วินาทีหลังจากได้ยินสัญญาณเตือนเครื่องบินสูญเสียการทรงตัวครั้งแรก นักบินที่ 1 กลับสู่ห้องควบคุม และหลังจากสัญญาณเตือนครั้งแรกผ่านไป 4 นาที 23 วินาที ท่ามกลางบรรยากาศของการตื่นตระหนกและสับสนกับการพยายามควบคุมเครื่องบินให้ได้อีกครั้ง เครื่องบินก็โหม่งลงกลางมหาสมุทรในลักษณะที่ท้องเครื่องลงกระแทกกับผืนน้ำด้วยความเร็วเกือบ 11,000 ฟุต (3,350 เมตร) ต่อนาที ทีมค้นหาพบซากเครื่องใต้น้ำลึก 12,800 ฟุต (3,900 เมตร) ทว่ากล่องดำก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์
ส่วนกรณีของแอร์เอเชีย เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2014 เหนือทะเลชวา นักบินของแอร์บัส เอ320 ติดต่อศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศเพื่อขอเพิ่มระดับการบินหนีกลุ่มเมฆฝน แต่ไม่ได้รับอนุญาตเนื่องจากมีเครื่องบินอีกลำบินอยู่เหนือขึ้นไป ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เครื่องบินของแอร์เอเชียก็ขาดการติดต่อ และล่าสุดทีมค้นหายังไม่พบกล่องดำที่จะเปิดเผยต้นเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้
เวลานี้เจ้าหน้าที่สอบสวนจากสำนักงานในฝรั่งเศสที่เคยสอบสวนกรณีแอร์ฟรานซ์ตกเมื่อปี 2009 ได้เดินทางมาช่วยทางการอินโดนีเซียสืบค้นความจริง ภาพจากระบบโซนาร์ระบุสิ่งที่ดูเหมือนเป็นชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของเครื่องบิน และทะเลบริเวณที่เครื่องบินของแอร์เอเชียตกก็ลึกเพียงกว่า 100 ฟุต (30 เมตร) เท่านั้น อย่างไรก็ดี ทีมค้นหาต้องเผชิญกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่พัดพาชิ้นส่วนกระจัดกระจายจากจุดที่เครื่องบินตก
กรณีแอร์ฟรานซ์นั้นให้บทเรียนหนึ่งคือ อันตรายจากระบบอัตโนมัติ โดยในระหว่างเกิดเหตุ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติไม่ทำงาน และนักบินที่ตื่นตระหนกตัดสินใจทำในสิ่งที่ส่งผลให้สถานการณ์เลวร้ายลง ซึ่งรวมถึงการใช้ชุดควบคุมหลายชุดพร้อมกัน และนับจากเหตุการณ์นี้ ผู้เกี่ยวข้องในแวดวงการบินจำนวนมากเริ่มตระหนักว่า นักบินขาดแคลนอุปกรณ์ ทักษะ และความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ผิดปกติ
เดเบอราห์ เฮอร์สแมน อดีตประธานคณะกรรมการความปลอดภัยในการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ และปัจจุบันเป็นประธานสภาความปลอดภัยแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์ของเอกชน กล่าวว่า คนส่วนใหญ่มองว่าระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในห้องนักบิน เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยมากขึ้นสำหรับผู้โดยสารสายการบิน แต่ในความเป็นจริง มีหลายครั้งที่ระบบอัตโนมัติอาจสร้างความสับสน และนักบินกับระบบอัตโนมัติขาดการเชื่อมต่อกัน
เดวิด กรีนเบิร์ก อดีตผู้บริหารเดลตาแอร์ไลน์สที่โคเรียนแอร์ เคยว่าจ้างให้ไปควบคุมการฝึกอบรมนักบินและระบบความปลอดภัย ขานรับว่า ผู้ผลิตเครื่องบิน สายการบิน และสำนักงานควบคุมการบินของสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อก่อนเคยยอมรับแนวคิดที่ว่าระบบอัตโนมัติอาจทำให้การบินปลอดภัยขึ้น ทว่าในระยะหลังๆ มานี้กลับเริ่มกังวลว่า อาจมีบางสถานการณ์ที่ระบบอัตโนมัติช่วยอะไรไม่ได้
“จุดโฟกัสเริ่มที่จะเปลี่ยนกลับมาให้ (นักบิน) มีความสามารถใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อเป็นผู้ช่วยในการลดภาระของนักบินในสถานการณ์ปกติ แต่ (นักบิน) ก็ต้องมีความสามารถในการเข้าควบคุมเครื่องและทำการบินด้วยตนเองแบบที่เคยทำกันในอดีตได้ด้วย” กรีนเบิร์ก บอก
“ในเอเชียนั้น เป็นเรื่องปกติมากที่นักบินจะไว้วางใจระบบอัตโนมัติมากเกินไป ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากผู้ผลิตเน้นย้ำว่า เครื่องบินของพวกตนง่ายต่อการเรียนรู้และฝึกอบรม และปลอดภัยมากเนื่องจากระบบอัตโนมัติช่วยลดช่องว่างระหว่างทักษะกับทักษะที่จำเป็น”