เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ทิม ซิมเมอร์แมนน์ ประธานบริษัทยานยนต์ชื่อดังเจเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แสดงความเชื่อมั่นว่าการมาถึงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) จะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ และจะช่วยลดการผูกขาดตลาดยานยนต์ในภูมิภาคนี้จากบริษัทรถยนต์จากญี่ปุ่น
ซิมเมอร์แมนน์กล่าวระหว่างเข้าร่วมเวทีสัมมนาเวทีหนึ่งในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยในวันพุธ (26 พ.ย.) โดยระบุการก้าวเข้าสู่เออีซีในปีหน้าจะเป็นผลดีต่อบริษัทยานยนต์ในแง่ของ “โอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างมากขึ้น” ในการเข้าถึงตลาดรถยนต์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากที่แต่เดิมถูกผูกขาดโดยรถยนต์จากค่ายรถญี่ปุ่นมาโดยตลอด
ผู้บริหารจีเอ็มระบุว่า บริษัทฯ มีแผนเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของตนในกลุ่มประเทศอาเซียนเป็น “5 เปอร์เซ็นต์” หลังเปิดเออีซี จากในปัจจุบันที่ยอดขายรถยนต์ของจีเอ็มในอาเซียนมีสัดส่วนเพียงแค่ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่บริษัทยานยนต์จากญี่ปุ่น เช่น โตโยต้า อีซูซุ ฮอนด้า มาสด้า มิตซูบิชิ ไดฮัตสุ และนิสสัน มีสัดส่วนการตลาดในอาเซียนรวมกันสูงเกินกว่า 80 เปอร์เซ็นต์
“เราต้องการก้าวเข้าไปมีที่ยืนในตลาดเออีซี เราต้องการเป็นตัวเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคในประเทศอาเซียน” ซิมเมอร์แมนน์ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานบริหารของจีเอ็มประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อต้นปีนี้ กล่าว พร้อมย้ำว่าภูมิภาคอาเซียนมีศักยภาพอันเหลือล้นในการเป็นฐานการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก
ก่อนหน้านี้ กลุ่มจีเอ็มประกาศเมื่อเดือนสิงหาคมย้ายสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียของตนจากจีนมายังสิงคโปร์เพื่อเตรียมบุกตลาดอาเซียนหลังการเปิดเออีซีในปี 2015 ขณะที่มูลค่าการลงทุนของกลุ่มจีเอ็มในอาเซียนล่าสุดอยู่ที่ระดับ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 49,170 ล้านบาท