xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ว่า 'เขมรแดง'หรือ'ไอเอส' ก็เรืองอำนาจขึ้นมาได้เพราะนโยบายอเมริกัน

เผยแพร่:   โดย: จอห์น พิลเกอร์

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Anything that flies on anything that moves
By John Pilger
09/10/2014

ในการถ่ายทอดคำสั่งของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ที่ให้ดำเนินการทิ้งระเบิดถล่มกัมพูชา “อย่างมโหฬาร” ในปี 1969 เฮนรี คิสซิงเจอร์ ได้สรุปออกเป็นถ้อยคำประโยคหนึ่งซึ่งกลายเป็นที่จดจำกันต่อมา ประโยคดังกล่าวคือ “ใช้อะไรก็ตามทีที่บินได้ เข้าเล่นงานทุกสิ่งทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้” (Anything that flies on everything that moves) เราย่อมหวนระลึกถึงคำพูดอันตรงไปตรงมาแบบฆาตกรผู้สัตย์ซื่อของคิสซิงเจอร์นี้ขึ้นมาทีเดียว เมื่อ บารัค โอบามา จุดชนวนสงครามต่อโลกมุสลิมครั้งที่ 7 ของเขานับแต่ที่เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเป็นต้นมา อันที่จริงแล้วกลุ่ม “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ก็เหมือนๆ กับพวกเขมรแดง พวกเขาต่างเรืองอำนาจขึ้นมาได้เพราะสงครามล้างผลาญที่สหรัฐฯเป็นผู้ก่อขึ้น

ในการถ่ายทอดคำสั่งของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ที่ให้ดำเนินการทิ้งระเบิดถล่มกัมพูชา “อย่างมโหฬาร” ในปี 1969 เฮนรี คิสซิงเจอร์ ได้สรุปออกเป็นถ้อยคำประโยคหนึ่งซึ่งกลายเป็นที่จดจำกันต่อมา ประโยคดังกล่าวคือ “ใช้อะไรก็ตามทีที่บินได้ เข้าเล่นงานทุกสิ่งทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้” (Anything that flies on everything that moves) เราย่อมหวนระลึกถึงคำพูดอันตรงไปตรงมาแบบฆาตกรผู้สัตย์ซื่อของคิสซิงเจอร์นี้ขึ้นมาทีเดียว เมื่อ บารัค โอบามา จุดชนวนสงครามต่อโลกมุสลิมครั้งที่ 7 ของเขานับแต่ที่เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเป็นต้นมา

ในฐานะเป็นพยานผู้หนึ่งที่ได้ประสบพบเห็นว่า การถล่มโจมตีทางอากาศอันโหดเหี้ยมอำมหิตนั้น ได้ส่งผลพวงต่อเนื่องกับมนุษย์อย่างไรบ้าง (เป็นต้นว่า มีเหยื่อจำนวนมากถูกสะเก็ดระเบิดตัดหัว ชิ้นส่วนร่างกายของพวกเขาห้อยระย้ากลาดเกลื่อนอยู่ตามต้นไม้และกลางท้องทุ่ง) ผมไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร เมื่อความทรงจำและประวัติศาสตร์ ได้ถูกทอดทิ้งอย่างไม่สนใจใยดีอีกครั้งหนึ่ง ตัวอย่างผลพวงต่อเนื่องที่เกิดขึ้นมนุษย์ซึ่งผมระบุถึงข้างต้นนั้น บังเกิดขึ้นจากการก้าวผงาดเข้าครองอำนาจของ โปล โป้ต (พอล พต Pol Pot) และกลุ่มเขมรแดงของเขา ทั้งนี้ เขมรแดงมีลักษณะร่วมกันอยู่มากมายกับกลุ่ม “รัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย” (Islamic State in Iraq and Syria ใช้อักษรย่อว่า ISIS ในเวลาต่อมา กลุ่มนี้ได้เปลี่ยนชื่อตนเองเป็น Islamist State ใช้อักษรย่อว่า IS -หมายเหตุผู้แปล) ในปัจจุบัน ทั้ง 2 ขบวนการนี้ต่างเป็นพวกคนยุคสมัยกลางที่สุดแสนป่าเถื่อนไร้ความปรานี ซึ่งในตอนเริ่มต้นทีเดียวเป็นเพียงกลุ่มคลั่งลัทธิกลุ่มเล็กๆ ทั้ง 2 ขบวนการนี้สามารถเติบใหญ่ขึ้นมาได้ ก็เนื่องจากเป็นผลผลิตของสงครามล้างผลาญที่ก่อขึ้นโดยอเมริกัน เพียงแต่ว่า โปล โป้ต และกลุ่มเขมรแดงของเขานั้น อยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่กลุ่มรัฐอิสลามอยู่ในตะวันออกกลาง

ตามคำบอกเล่าของ โปล โป้ต เอง ขบวนการของเขาประกอบด้วย “นักรบจรยุทธ์ติดอาวุธชั้นเลวจำนวนไม่ถึง 5,000 คน ซึ่งไม่มีความมั่นอกมั่นใจเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของพวกเขา และกระทั่งไม่มีความมั่นอกมั่นใจในเหล่าผู้นำของพวกเขา” แต่ในทันทีที่ฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิด บี 52 ของ นิกสัน และ คิสซิงเจอร์ เข้ามาปฏิบัติการในกัมพูชา ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธการลับๆ ซึ่งใช้ชื่อรหัสว่า “โอเปอเรชั่น เมนู” (Operation Menu) ปีศาจร้ายหฤโหดที่สุดตนหนึ่งเท่าที่โลกตะวันตกเคยรู้จักผู้นี้ ก็แทบไม่เชื่อเลยว่าเขาจะมีโชคดีถึงขนาดนี้

กองทัพอเมริกันได้หย่อนระเบิดจำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งรวมแล้วมีฤทธิ์เดชร้ายแรงเท่ากับระเบิดปรมาณูที่ทิ้งใส่เมืองฮิโรชิมา จำนวน 5 ลูก เข้าใส่พื้นที่แถบชนบทของกัมพูชาในระหว่างปี 1969 ถึง 1973 พวกเขาทำลายหมู่บ้านราบเรียบเป็นหน้ากลองแห่งแล้วแห่งเล่า แล้วยังย้อนกลับมาทิ้งระเบิดใส่ซากปรักหักพังและซากศพ แอ่งลึกยาวต่อเนื่องกันเหมือนสายสร้อย ซึ่งเป็นอนุสรณ์หลงเหลือจากการถล่มโจมตีอย่างโหดเหี้ยมในตอนนั้น เวลานี้ก็ยังสามารถเห็นได้ชัดเจนเมื่อมองจากทางอากาศ ความสยดสยองที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการ อดีตเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของเขมรแดงผู้หนึ่งเล่าว่า พวกที่รอดชีวิตมาได้ “ต่างอยู่ในอาการหวาดกลัวสุดขีด และพวกเขาจะเดินพล่านไปทั่วโดยพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลา 3 หรือ 4 วัน ในสภาพที่กลัวสุดขีดและกึ่งๆ บ้าไปแล้ว ผู้คนเหล่านี้ก็พร้อมที่จะเชื่อสิ่งที่พวกเขาได้รับการบอกเล่า … นี่แหละทำให้เป็นเรื่องง่ายเหลือเกินที่เขมรแดงจะเอาชนะใจประชาชนได้สำเร็จ”

คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดหนึ่งของรัฐบาลฟินแลนด์ ประมาณการว่า มีชาวกัมพูชา 600,000 คนเสียชีวิตไปในสงครามกลางเมืองซึ่งเกิดติดตามมาหลังจากนั้น และได้เรียกการทิ้งระเบิดของอเมริกันดังกล่าวนี้ว่า เป็น “ขั้นตอนแรกใน 1 ทศวรรษแห่งการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” สิ่งที่ นิกสัน และ คิสซิงเจอร์ เริ่มต้นขึ้นมา โปล โป้ต ซึ่งเป็นผู้รับผลประโยชน์ของพวกเขา ก็ได้จัดการทำให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ จากการถล่มทิ้งระเบิดของพวกเขา เขมรแดงได้เติบใหญ่ขยายตัวจนกลายเป็นกองทัพอันน่าเกรงขามซึ่งมีกำลังพล 200,000 คน

กลุ่ม ISIS ก็มีอดีตและปัจจุบันในทำนองเดียวกัน จากการคำนวณโดยอิงหลักวิชาการมากที่สุด การรุกรานอิรักในปี 2003 ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ แห่งอังกฤษ ได้นำไปสู่การสูญเสียชีวิตของประชาชนประมาณ 700,000 คน ในประเทศซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้วไม่เคยมีลัทธินักรบญิฮัด (jihadism) มาก่อนเลย ชาวเคิร์ดอาจจะมีความพยายามที่จะทำข้อตกลงทางด้านดินแดนและทางด้านการเมือง ส่วนชาวสุหนี่และชาวชิอะห์ก็อาจจะมีความแตกต่างกันในทางชนชั้นและในทางนิกายศาสนา ทว่าพวกเขาต่างก็อยู่กันด้วยความสงบ การแต่งงานข้ามเชื้อชาติข้ามนิกายศาสนาเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ก่อนหน้าการรุกรานของ บุช และ แบลร์ ราว 3 ปี ผมสามารถขับรถไปเป็นระยะทางยาวเหยียดในอิรักโดยที่ไม่รู้สึกหวาดกลัวเลย ตามเส้นทางผมได้พบกับผู้คนซึ่งเหนือสิ่งอื่นใด มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นชาวอิรัก ผู้เป็นทายาทของอารยธรรมอันเก่าแก่อารยธรรมหนึ่ง ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนอารยธรรมดังกล่าวนี้ ยังดำรงคงอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

บุช กับ แบลร์ ได้ทำลายสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้จนแหลกละเอียด อิรักเวลานี้เป็นรังใหญ่ของลัทธินักรบญิฮัด พวกอัลกออิดะห์ (ซึ่งเปรียบได้กับ “นักรบญิฮัด” ของ โปล โป้ต) ได้ยึดกุมโอกาสที่ บุช กับ แบลร์ “จัดให้” จากการเปิดฉากรุกรานเข่นฆ่าในอิรักแบบ “โจมตีด้วยความเหนือชั้นกว่าอย่างไม่ให้ทันตั้งตัวเพื่อสร้างความตื่นตระหนกและตกใจกลัว” (Shock and Awe) ตลอดจนสงครามกลางเมืองซึ่งเกิดติดตามมาหลังจากนั้น ในเวลาต่อมา ซีเรีย “ที่เกิดการก่อกบฎ” ยิ่งเสนอโอกาสอันงดงามยิ่งกว่าอิรักเสียอีก โดยที่ทั้งซีไอเอและพวกรัฐริมอ่าวเปอร์เซีย ต่างก็จัดหาจัดส่งทั้งอาวุธ, การส่งกำลังบำรุง, และเงินทอง มาให้ “กลุ่มกบฏ” โดยผ่านมาทางตุรกี เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่พ้นอยู่แล้วที่จะมีชาวต่างชาติถูกชักชวนให้เดินทางเข้ามาร่วมรบด้วย โอลิเวอร์ ไมลส์ (Oliver Miles) อดีตเอกอัครราชทูตชาวอังกฤษ ได้เขียนเอาไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า “รัฐบาล [ของนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน] ดูเหมือนว่ากำลังเดินตามตัวอย่างของ โทนี แบลร์ ผู้ซึ่งเพิกเฉยไม่แยแสต่อคำแนะนำครั้งแล้วครั้งเล่าของกระทรวงการต่างประเทศ, เอ็มไอ5 (MI5 หน่วยข่าวกรองที่รับผิดชอบการปฏิบัติการภายในประเทศของอังกฤษ) , และ เอ็มไอ6 (MI6 หน่วยข่าวกรองที่รับผิดชอบการปฏิบัติการในต่างประเทศของอังกฤษ) ที่ว่า นโยบายต่อตะวันออกกลางของเรา (และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำสงครามในตะวันออกกลางของเรา) คือแรงขับดันสำคัญที่สุดซึ่งชักพาให้ชาวมุสลิมในอังกฤษพากันเดินทางที่นั่นเพื่อการก่อการร้าย”

ISIS จึงเป็นผู้สืบสายโลหิตของพวกในวอชิงตันและลอนดอน ซึ่งได้ทำลายล้างอิรักทั้งในฐานะที่เป็นรัฐและในความเป็นสังคม จนสมควรถือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันประกอบอาชญากรรมขั้นอุกฤษฎ์ต่อมนุษยชาติ ISIS ก็เฉกเช่นเดียวกับ โปล โป้ต และเขมรเดง พวกเขาเป็นลูกหลานที่กลายพันธุ์ของการก่อการร้ายโดยรัฐในโลกตะวันตก ซึ่งเป็นบาปชั่วติดตัวของพวกชนชั้นนำในยุคจักรวรรดินิยม ชนชั้นนำผู้เลวร้ายเหล่านี้ต่างไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนใดๆ เลย ต่อผลพวงต่อเนื่องของการที่พวกเขากระทำการอย่างชั่วช้าด้วยความสบายอกสบายใจ ในดินแดนและในวัฒนธรรมที่อยู่ห่างไกลโพ้น ในสังคม “ของเรา” เวลานี้ ความผิดอุกฉกรรจ์ของพวกเขา ก็ยังคงเป็นสิ่งที่แทบไม่ได้ถูกนำมาประณามเปิดโปงกันอย่างสาสม

อิรักถูกปกคลุมด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาเป็นเวลา 23 ปีแล้ว หลังจากสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก (the first Gulf War คือสงครามที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม 1990 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 1991 ซึ่งกองทัพอิรักของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน บุกเข้ายึดครองคูเวต จากนั้นสหรัฐฯได้รวบรวมชาติพันธมิตร เข้าโจมตีขับไล่กองทัพอิรักจนพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และปลดปล่อยคูเวตเป็นอิสระ ทว่ายังไม่ได้เข้ายึดครองอิรัก และซัดดัม ฮุสเซน ยังคงครองอำนาจต่อมาอีกสิบกว่าปี -หมายเหตุผู้แปล) จบสิ้นลง สหรัฐฯกับอังกฤษประสบความสำเร็จในการจี้จับเอาคณะมนตรีมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมาเป็นตัวประกัน จนสามารถผ่านมติ “ลงโทษคว่ำบาตร” หลายฉบับ ซึ่งสร้างความทุกข์ยากต่อประชากรอิรักอย่างแสนสาหัส [ในทางตรงกันข้าม การคว่ำบาตรเหล่านี้กลับกลายเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการกุมอำนาจภายในประเทศอย่างเหนียวแน่นมั่นใจยิ่งขึ้นของ ซัดดัม ฮุสเซน] สภาวการณ์ในเวลานั้นเหมือนๆ กับการปิดล้อมเมืองอย่างป่าเถื่อนโหดร้ายในสมัยกลาง อิรักถูก “ปิดกั้น” จากสินค้าข้าวของแทบทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งจำเป็นสำหรับการดำรงคงอยู่ของรัฐสมัยใหม่ ตั้งแต่สารคลอรีนสำหรับทำให้น้ำประปาสะอาดปลอดภัย ไปจนถึงดินสอที่ให้นักเรียนขีดเขียนในโรงเรียน, อะไหล่ชิ้นส่วนของเครื่องฉายเอ็กซเรย์ ตั้งแต่ยาแก้ปวดธรรมดาสามัญ ไปจนถึงพวกยาที่ใช้ต่อสู้กับโรคมะเร็งซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ถูกปล่อยทิ้งให้จมฝุ่นจากพื้นที่สมรภูมิในภาคใต้ ซึ่งปนเปื้อนด้วยสารยูเรเนียมด้อยสมรรถนะ

ไม่กี่วันก่อนหน้าคริสต์มาสของปี 1999 กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม (Department of Trade and Industry) ในกรุงลอนดอน ได้สั่งจำกัดการส่งออกวัคซีนซึ่งมุ่งที่จะนำไปใช้คุ้มครองป้องกันเด็กๆ ชาวอิรักให้พ้นจากโรคคอตีบและโรคไข้เหลือง คิม โฮเวลส์ (Kim Howells) ผู้เป็นแพทย์โดยอาชีพ และมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี (parliamentary Under-Secretary of State) ในคณะรัฐบาลของแบลร์ ได้อธิบายแจกแจงเหตุผลของการตั้งข้อจำกัดเช่นนี้เอาไว้ “พวกวัคซีนของเด็กๆ เหล่านี้” เขากล่าว “สามารถที่จะนำเอาใช้เป็นอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงได้” ปรากฏว่ารัฐบาลอังกฤษในเวลานั้นไม่ได้ถูกแตะต้องอะไร ทั้งๆ ที่กระทำเรื่องอันชวนโกรธแค้นถึงขนาดนี้ นั่นก็เพราะการรายงานข่าวเกี่ยวกับอิรักของสื่อต่างๆ มุ่งเน้นหนักประณามว่า ซัดดัม ฮุนเซน คือตัวการของความเลวร้ายทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งนี่เป็นฝีมือในการปลุกปั่นสร้างเรื่องไม่ใช่น้อยๆ ของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษนั่นเอง

ภายใต้โครงการน้ำมันแลกอาหาร (Oil for Food Programme) ที่เป็นโครงการซึ่งเสแสร้งหลอกลวงว่าเป็นไปเพื่อ “มนุษยธรรม” มีการกำหนดเป็นหลักเกณฑ์เอาไว้ว่า ชาวอิรักแต่ละคนจะได้รับการจัดสรรเงินคนละ 100 ดอลลาร์เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลา 1 ปี ตัวเลขดังกล่าวนี้ยังต้องรวมเอาค่าใช้จ่ายสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและบริการอันจำเป็นต่างๆ ของทั่วทั้งสังคมอิรักด้วย เป็นต้นว่า ไฟฟ้า และน้ำประปา รองเลขาธิการสหประชาชาติ (UN Assistant Secretary General) ฮันส์ ฟอน สปอเน็ค (Hans Von Sponeck) เคยบอกกับผมว่า “ลองคิดดูเถอะ ตั้งเกณฑ์ให้เงินขี้ปะติ๋วแค่นั้น ทั้งๆ ที่อิรักกำลังขาดแคลนน้ำสะอาด แล้วยังมีข้อเท็จจริงอยู่ว่าคนป่วยเกินกว่าครึ่งหนึ่งไม่ได้รับการเยียวยารักษา ขณะที่การเอาตัวให้รอดไปวันหนึ่งๆ ก็ยากเย็นเหลือเกินอยู่แล้ว คุณจึงกำลังได้เห็นฝันร้ายที่สยดสยองอย่างชัดเจน และต้องเข้าใจด้วยนะว่า นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องอุบัติเหตุหรือความบังเอิญ มันเป็นความจงใจให้เป็นอย่างนี้ ในอดีตที่ผ่านมาผมไม่เคยอยากจะใช้คำว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เลยนะ แต่ตอนนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องใช้คำนี้”

ในที่สุดด้วยความสะอิดสะเอียนจนทนไม่ไหว ฟอน สปอเน็ค จึงขอลาออกจากตำแหน่งการเป็นผู้ประสานงานด้านมนุษยธรรมของยูเอ็นในอิรัก (UN Humanitarian Co-ordinator in Iraq) อันที่จริงแล้ว เดนิส ฮัลลิเดย์ (Denis Halliday) ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ก่อนหน้าเขา และก็เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหประชาชาติซึ่งโดดเด่นได้รับความยกย่องนับถือพอๆ กัน ก็ได้ยื่นใบลาออกเช่นเดียวกัน ฮัลลิเดย์บอกว่า “ผมได้รับมอบหมายให้ดำเนินนโยบาย ซึ่งสอดคล้องต้องกันกับนิยามของคำว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นั่นคือ นโยบายที่จงใจจะส่งผลให้เกิดการเข่นฆ่าปัจเจกบุคคลจำนวนกว่า 1 ล้านคน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่”

การศึกษาชิ้นหนึ่งที่จัดทำโดย กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (United Nations Children's Fund หรือ Unicef) พบว่าในระหว่างปี 1991 จนถึงปี 1998 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของการดำเนินการปิดล้อมคราวนั้น มีทารกอายุต่ำกว่า 5 ปีชาวอิรักเสียชีวิต “มากกว่าปกติ” 500,000 คน เมื่อผู้สื่อข่าวทีวีชาวอเมริกันคนหนึ่งสอบถามเรื่องนี้ต่อ แมเดลีน อัลไบรต์ (Madeleine Albright) ที่ขณะนั้นเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ โดยยิงคำถามว่า “นี่เป็นราคาที่คุ้มค่าแล้วหรือ?” อัลไบรต์ตอบว่า “เราคิดว่ามันเป็นราคาที่คุ้มค่า”

ในปี 2007 คาร์น รอสส์ (Carne Ross) เจ้าหน้าที่อาวุโสชาวอังกฤษทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการลงโทษคว่ำบาตร และรู้จักเรียกขานกันด้วยสมญาว่า “มิสเตอร์อิรัก” ได้บอกกับคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดหนึ่งของรัฐสภาว่า “[รัฐบาลสหรัฐฯและรัฐบาลอังกฤษ] ในทางเป็นจริงแล้ว ได้ปฏิเสธไม่ยอมให้ประชากรทั่วทั้งอิรักได้รับปัจจัยสำหรับการยังชีพ” เมื่อตอนที่ผมสัมภาษณ์ คาร์น รอสส์ ในอีก 3 ปีต่อมา เขาอยู่ในอาการท่วมท้นด้วยความรู้สึกเสียใจและสำนึกผิด “ผมรู้สึกละอายเหลือเกิน” เขากล่าว ทุกวันนี้เขาเป็นคนหนึ่งในจำนวนคนน้อยนิดเหลือเกิน ซึ่งออกมาบอกเล่าความจริงที่ว่าพวกรัฐบาลต่างๆ ใช้วิธีการแบบไหนในการโกหกหลอกลวง และทำอย่างไรสื่อซึ่งชอบเอะอะโวยวาย จึงกลับแสดงบทบาทอันสำคัญยิ่งยวดในการแพร่กระจายและรักษาการโกหกหลอกลวงเหล่านี้เอาไว้ “เราจะคอยป้อนพวกข่าวกรองซึ่งผ่านการกลั่นกรองและดูเหมือนกับเป็นข้อเท็จจริง [ให้แก่พวกนักหนังสือพิมพ์]” เขาเล่า “หรือไม่เราก็ใช้วิธีแช่แข็งไม่ให้เป็นข่าวออกมาเลย”

เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา พาดหัวของบทความชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์การ์เดียน (Guardian หนังสือพิมพ์ระดับชาติแนวเสรีนิยม กลาง-ซ้ายของอังกฤษ –หมายเหตุผู้แปล) บอกว่า “เมื่อเผชิญกับความโหดเหี้ยมของISIS เราต้องลงมือทำอะไรกันแล้ว” (Faced with the horror of Isis we must act) วลีที่ว่า “ต้องลงมือทำ” นี้ คือการปลุกผี คือคำเตือนให้รู้ว่าถึงเวลาที่จะมีการกำจัดกวาดล้างความทรงจำของผู้มีความรู้, ข้อเท็จจริง, บทเรียนที่สรุปได้, และความเสียใจหรือความละอาย กันแล้ว ผู้เขียนบทความชิ้นนี้คือ ปีเตอร์ เฮน (Peter Hain) อดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรับผิดชอบเรื่องอิรักในยุคนายกรัฐมนตรีแบลร์ ในปี 1998 ตอนที่ เดนิส ฮัลลิเดย์ เปิดโปงให้เห็นว่าประชาชนชาวอิรักต้องทุกข์ยากลำบากกันขนาดไหน โดยที่รัฐบาลแบลร์นั่นเองที่จะต้องเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบรายใหญ่ด้วย เฮน ได้กล่าวให้ร้าย ฮัลลิเดย์ ในรายการ “นิวส์ไนต์” (Newsnight) ของ บีบีซี โดยตราหน้าเขาว่าเป็น “นักแก้ต่างให้แก่ซัมดัม” ในปี 2003 เฮนให้ความสนับสนุนการที่แบลร์เข้าร่วมการรุกรานอิรักที่อยู่ในสภาพทุกข์ยากสาหัสอยู่แล้ว โดยที่การรุกรานดังกล่าวอ้างเหตุผลความชอบธรรมซึ่งเป็นเรื่องโกหกกันโต้งๆ จากนั้นในการประชุมใหญ่ของพรรคเลเบอร์ (Labour Party) ครั้งต่อมา เฮนได้บอกปัดไม่ให้อภิปรายเรื่องการรุกรานนี้ โดยอ้างว่ามันเป็น “ประเด็นปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ”

เวลานี้ เฮนกำลังเรียกร้องให้ “ดำเนินการโจมตีทางอากาศ, การใช้อากาศยานไร้นักบิน (โดรน), การจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และความสนับสนุนอย่างอื่นๆ” ไปให้แก่ผู้คนซึ่ง “กำลังเผชิญกับการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ในอิรักและซีเรีย เขาบอกว่าการดำเนินการเช่นนี้จะสามารถส่งผลผลักดันให้เกิด “หนทางแก้ไขทางการเมืองซึ่งเป็นความจำเป็นอันหลีกเลี่ยงไม่ได้” ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ก็มีความคิดอย่างเดียวกันนี้แหละ ในขณะที่เขาแถลงยกเลิกสิ่งที่เขาเรียกว่า “ข้อจำกัดต่างๆ” ต่อการทิ้งระเบิดและการโจมตีด้วยโดรนของสหรัฐฯ การยกเลิกเช่นนี้หมายความว่า ต่อไปนี้สหรัฐฯสามารถยิงขีปนาวุธและทิ้งระเบิดขนาด 500 ปอนด์ เข้าใส่บ้านเรือนของประชาชนที่เป็นเกษตรกรในอิรักและซีเรีย อย่างเดียวกับที่พวกเขากำลังกระทำอยู่อย่างไร้ข้อจำกัดทั้งในเยเมน, ปากีสถาน, อัฟกานิสถาน, และโซมาเลีย --และก็เหมือนกับที่พวกเขาได้เคยกระทำมาในอดีตทั้งในกัมพูชา, เวียดนาม, และลาว ในวันที่ 23 กันยายน จรวดร่อน (cruise missile) “โทมาฮอว์ก” (Tomahawk) ลูกหนึ่งถูกยิงตกใส่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดอิดลิบ (Idlib) ในซีเรีย ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตไปสิบกว่าคน ในจำนวนนี้มีทั้งผู้หญิงและเด็กๆ พวกเขาเหล่านี้ไม่มีใครเลยสักคนที่โบก “ธงดำ” ของพวก ISIS

ในวันเดียวกับที่บทความของ เฮน ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ เดนิส ฮัลลิเดย์ และ ฮันส์ ฟอน สปอเน็ค บังเอิญอยู่กันที่ลอนดอนพอดี และได้เดินทางมาเยี่ยมผม พวกเขาไม่ได้ตื่นเต้นตกใจอะไรกับพฤติกรรม “มือถือสาก ปากถือศีล” หมายเข่นฆ่าเอาชีวิตของนักการเมืองคนหนึ่ง แต่คร่ำครวญเศร้าโศกกับสภาวการณ์ที่การดำเนินการทางการทูตแบบมีสติปัญญาเพื่อมุ่งเจรจาให้เกิดข้อตกลงหยุดยิงที่พอเป็นไปได้ แทบจะขาดหายสาปสูญไปอย่างยาวนานและอธิบายไม่ได้ถึงขนาดนี้ ตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกของเรานี้ ตั้งแต่ไอร์แลนด์เหนือไปจนถึงเนปาล พวกซึ่งเคยประณามตราหน้าใส่อีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและพวกนอกรีต ต่างก็ยังคงสามารถมานั่งเผชิญหน้ากันบนโต๊ะเจรจา แต่ทำไมในอิรักและซีเรียเวลานี้จึงไม่สามารถเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาบ้าง

ทำนองเดียวกับเชื้อไวรัสอีโบลาจากแอฟริกาตะวันตก เวลานี้เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อเรียกว่า “สงครามตราบชั่วกัปชั่วกัลป์” ก็กำลังข้ามเข้ามาสู่ยุโรปและอเมริกา –สองฟากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกแล้ว ลอร์ด ริชาร์ดส์ (Lord Richards) ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาทหารสูงที่สุดของอังกฤษจวบจนกระทั่งเกษียณอายุไปเมื่อปีที่แล้ว ขณะนี้กำลังเรียกร้องให้ส่งกำลังภาคพื้นดินกลับเข้าไปในอิรักและซีเรีย ขณะที่นายกรัฐมนตรีคาเมรอน ของอังกฤษ, ประธานาธิบดีโอบามา, และ “พันธมิตรผู้มีเจตนารมณ์เดียวกัน” (coalition of the willing) ของพวกเขา –โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โทนี แอ็บบอตต์ (Tony Abbott) นายกรัฐมนตรีผู้มีความก้าวร้าวอย่างพิลึกๆ แห่งออสเตรเลีย ต่างก็พากันใช้ถ้อยคำวาจาอันฟุ่มเฟือยทว่าว่างเปล่าและแทบอยู่ในอาการเป็นปฏิปักษ์ต่อสังคมทีเดียว เมื่อพวกเขาบรรยายถึงความรุนแรงอันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถูกปล่อยลงมาจากระดับความสูง 30,000 ฟุต เข้าสู่สถานที่ต่างๆ ที่เลือดอันเกิดจากการผจญภัยครั้งก่อนๆ ยังไม่ได้เหือดแห้งระเหยหายไปเลย พวกเขาเหล่านี้ไม่เคยพบเห็นการทิ้งระเบิดด้วยตนเองหรอก แต่ก็ดูเหมือนจะชื่นชอบเรื่องนี้มาก จนกระทั่งต้องการที่จะให้ใช้อาวุธเหล่านี้มาโค่นล้มซีเรีย – ประเทศหนึ่งซึ่งมีศักยภาพที่จะกลายเป็นพันธมิตรอันมีค่าของพวกเขาได้

อย่างไรก็ตาม เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่ของใหม่อะไร ดังที่แฟ้มข่าวกรองอังกฤษ-สหรัฐฯที่รั่วไหลออกมาแฟ้มหนึ่ง แสดงให้เห็นอย่างถนัดชัดเจน เนื้อหาสำคัญในแฟ้มข่าวกรองดังกล่าว เขียนเอาไว้ดังนี้:

“เพื่อเป็นการเอื้ออำนวยช่วยเหลือการปฏิบัติการของกองกำลังปลดแอก ... ควรที่จะมีการใช้ความพยายามอย่างพิเศษขึ้นมา ด้วยการกำจัดบุคคลสำคัญๆ บางคน [และ] ติดตามด้วยการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายภายในขึ้นในซีเรีย ซีไอเอนั้นกำลังเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว และ เอสไอเอส (SIS ย่อมาจาก Secret Intelligence Service หรือที่นิยมเรียกขานกันว่า MI6 เป็นหน่วยสืบราชการลับภายนอกประเทศของอังกฤษ –หมายเหตุผู้แปล) ก็จะหาทางก่อวินาศกรรมระดับเล็กๆ ตลอดจนเปิดการโจมตีแบบเซอร์ไพรซ์ขึ้นภายในซีเรีย โดยทำงานผ่านทางสายติดต่อเชื่อมโยงกับบุคคลต่างๆ ... การสร้างความหวาดกลัวในระดับที่จำเป็น ... การปะทะกันตามชายแดนและ [การสร้างเรื่อง] การปะทะกันตามพรมแดน [จะ] สามารถนำมาใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการเข้าแทรกแซง ... ซีไอเอ และ เอสไอเอส ควรที่จะใช้ ... ศักยภาพต่างๆ ทั้งในขอบเขตทางจิตวิทยาและทางการปฏิบัติการ เพื่อเพิ่มพูนความตึงเครียด”

เอกสารชิ้นนี้เขียนเอาไว้ตั้งแต่ปี 1957 ทว่ายังคงทันสมัยเสมือนว่าเขียนขึ้นเมื่อวานนี้เอง ในโลกจักรวรรดินิยมนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงไปในทางสาระสำคัญหรอก เมื่อปีที่แล้ว อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ โรลอง ดูมาส์ (Roland Dumas) ของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า “ตั้งแต่ 2 ปีก่อนจะเกิดกระแสอาหรับสปริง (Arab spring) ขึ้นมา” เขาก็ได้รับการบอกเล่าแล้ว ขณะเขาอยู่ในกรุงลอนดอน ว่ากำลังมีการวางแผนก่อสงครามขึ้นในซีเรีย “ผมกำลังจะเล่าเรื่องบางอย่างให้คุณฟัง” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์ทีวีฝรั่งเศสช่อง LPC “ผมกำลังอยู่ในอังกฤษ ก่อนที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นในซีเรียตั้ง 2 ปีทีเดียว ผมไปในธุรกิจอย่างอื่น แต่ก็ได้พบปะกับพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอังกฤษหลายคน ซึ่งสารภาพกับผมว่าพวกเขากำลังเตรียมการทำอะไรบางอย่างขึ้นในซีเรีย ... อังกฤษกำลังจัดตั้งให้มีกลุ่มกบฎรุกรานเข้าไปในซีเรียนั่นเอง พวกเขายังมาถามผม ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศแล้ว ว่าผมอยากจะเข้าร่วมไหม ... การปฏิบัติการคราวนี้จึงสามารถย้อนหลังกลับไปไกลทีเดียว มันมีการเตรียมการ, มีการขบคิดกันเอาไว้ก่อนและมีการวางแผนกันเอาไว้ก่อนแล้ว”

ศัตรูที่ทรงประสิทธิภาพสามารถต่อกรกับกลุ่ม ISIS อย่างบังเกิดผล เวลานี้ก็เห็นมีแต่เพียงพวกที่ถูกประทับตราจากฝ่ายตะวันตกว่าเป็นปีศาจร้ายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ซีเรีย, อิหร่าน, เฮซบอลเลาะห์ (Hezbollah) อุปสรรคสำคัญที่คอยขัดขวางนั้นอยู่ที่ ตุรกี ผู้เป็น “ชาติพันธมิตร” และเป็นสมาชิกรายหนึ่งขององค์การนาโต้ ซึ่งได้สมคบคิดกับ ซีไอเอ, เอ็มไอ6, ตลอดจนพวกอ่าวเปอร์เซียที่ยังมีความคิดจิตใจติดอยู่ในโลกสมัยกลางทั้งหลาย ตุรกีและชาติเหล่านี้ หาทางส่งความสนับสนุนออกไปให้แก่ “พวกกบฏ” ในซีเรีย โดยที่ในเวลาต่อมา 1 ใน “กบฏ” เหล่านี้ คือกลุ่มซึ่งเรียกตัวเองว่า ISIS นั่นเอง แต่การสนับสนุน ตุรกี ให้บรรลุความทะเยอทะยานซึ่งมีมานมนานแล้วของพวกเขา ในการโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด และก้าวผงาดมีฐานะเป็นผู้มีอำนาจล้นพ้นครอบงำภูมิภาคแถบนี้ รังแต่จะกลายเป็นการกวักมือเรียกให้เกิดสงครามตามแบบแผนขนาดใหญ่โตขึ้นมา ตลอดจนเกิดการแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างน่าสยดสยองของรัฐที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่สุดในตะวันออกกลางแห่งนี้นั่นเอง

การทำข้อตกลงหยุดยิงหรือข้อตกลงพักรบชั่วคราว ไม่ว่าเป็นเรื่องทำได้ลำบากยากเย็นแค่ไหนก็ตาม คือหนทางออกเพียงประการเดียวสำหรับสถานการณ์แสนวกวนคดเคี้ยวอันสืบเนื่องจากแนวคิดจักรวรรดินิยมเช่นนี้ มิฉะนั้นแล้ว เหตุการณ์การประหารชีวิตด้วยการตัดหัวอย่างอำมหิตก็ยังจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด แต่ถ้ายังคงมองเห็นกันว่า การเปิดการเจรจาอย่างจริงๆ จังๆ กับซีเรีย คือ พฤติกรรม “ที่ก่อให้เกิดคำถามในเชิงศีลธรรม” อย่างที่ “การ์เดียน” เสนอแนะเอาไว้แล้ว นั่นก็กลับกลายเป็นการบ่งบอกให้เห็นชัดว่า การที่พวกผู้สนับสนุนอาชญากรรมสงครามของ แบลร์ เหล่านี้ ยังคงทึกทักเอาว่าพวกตนมีความเหนือล้ำกว่ารัฐบาลอัสซาดในทางศีลธรรม ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องไร้สาระน่าเย้ยหยันเท่านั้น หากยังเป็นอันตรายอีกด้วย

พร้อมๆ กับที่มีการทำข้อตกลงหยุดยิง ก็ควรที่จะมีการยุติการจัดส่งวัสดุแห่งสงครามไปให้อิสราเอล ตลอดจนให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์กันในทันทีด้วย ประเด็นปัญหาปาเลสไตน์นั้น คือแผลกลัดหนองเน่าเปื่อยที่ร้ายแรงที่สุดของภูมิภาคนี้ อีกทั้งยังถูกใช้อ้างเป็นเหตุผลความชอบธรรมอยู่บ่อยครั้งสำหรับการก้าวผงาดเติบโตของแนวความคิดอิสลามิสต์สุดโต่ง ทั้งนี้ อุซามะห์ บิน ลาดิน เป็นผู้ที่ทำเรื่องนี้ให้ประจักษ์เห็นชัดเจนอยู่แล้ว กระนั้น ในอีกด้านหนึ่ง ปาเลสไตน์ก็เป็นประเด็นที่ให้ความหวัง เพราะถ้าเมื่อใดที่คืนความยุติธรรมให้แก่ชาวปาเลสไตน์ เมื่อนั้นคุณก็เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงโลกที่อยู่รอบๆ ชาวปาเลสไตน์ได้

เมื่อกว่า 40 ปีมาแล้ว การถล่มทิ้งระเบิดกัมพูชาของนิกสัน-คิสซิงเจอร์ กลายเป็นการปลดปล่อยกระแสน้ำเชี่ยวแห่งความทุกข์ยากสาหัส ซึ่งประเทศนั้นยังไม่อาจฟื้นตัวคืนดีขึ้นมาเลยแม้กระทั่งในทุกวันนี้ อาชญากรรมของแบลร์-บุช ในอิรักก็กำลังให้ผลอย่างเดียวกัน เฮนรี คิสซิงเจอร์ เพิ่งนำเอาหนังสือเล่มล่าสุดของเขาออกวางตลาด โดยตั้งชื่อที่เสมือนเป็นการเหน็บแนมเย้ยเยาะว่า “World Order” (ระเบียบโลก) นับว่า เป็นจังหวะเวลาที่สมบูรณ์พร้อมสรรพจริงๆ ได้มีนักวิจารณ์หนังสือช่างประจบประแจงผู้หนึ่ง กล่าวถึงคิสซิงเจอร์ว่า เป็น “ผู้ปรับแต่งคนสำคัญคนหนึ่งของระเบียบโลก ซึ่งยังคงยืนยงมีเสถียรภาพ แม้เวลาผ่านล่วงเลยไปเสี้ยวหนึ่งของศตวรรษแล้ว” แหม ผู้วิจารณ์หนังสือคนนี้น่าจะไปพูดเรื่องนี้ต่อหน้าประชาชนของกัมพูชา, เวียดนาม, ลาว, ชิลี, ติมอร์ตะวันออก, ตลอดจนเหยื่อรายอื่นๆ ทั้งหลายทั้งทั้งปวงของ “ศิลปะแห่งการบริหารจัดการรัฐ” ของคิสซิงเจอร์ หน่อยนะ ต่อเมื่อ “เรา” ยอมรับรู้ว่าในหมู่พวกเรานั้นมีพวกอาชญากรสงครามปะปนร่วมผสมโรงอยู่ด้วยแล้วเท่านั้น เลือดที่ไหลหลั่งจึงจะเริ่มต้นระเหยเหือดแห้งหายไปได้

จอห์น พิลเกอร์ นักหนังสือพิมพ์และนักสร้างภาพยนตร์สารคดีอาวุโสชาวออสเตรเลีย ตั้งแต่สมัยหนุ่ม เขาเคยเป็นผู้สื่อข่าวไปประจำอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก และรายงานข่าวสงครามครั้งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเวียดนาม รวมทั้งประจำอยู่ในกองบรรณาธิการในตำแหน่งสำคัญๆ เขายังเป็นผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับกัมพูชาภายหลังเขมรแดงถูกขับไสตกจากอำนาจ, ติมอร์ตะวันออกในยุคที่ยังตกอยู่ใต้การยึดครองอย่างเหี้ยมโหดของอินโดนีเซีย, พิษภัยของยาธาลิโดไมด์ ที่ทำให้เด็กๆ ในอังกฤษคลอดออกมาในสภาพพิกลพิการ, ตลอดจนชะตากรรมของชาวพื้นเมืองที่ถูกทอดทิ้งในออสเตรเลีย ผลงานของเขาทำให้ได้รับรางวัลและเกียรติยศต่างๆ มากมาย รวมทั้งรางวัลเอมมี และ รางวัลแบฟตา สาขาภาพยนตร์สารคดี
กำลังโหลดความคิดเห็น