เอเจนซีส์ - รูริค จัตติง (Rurik Jutting) ชาวอังกฤษ วัย 29 ปี อดีตนายธนาคาร แบงก์ออฟอเมริกา เมอร์ริล ลินช์ สาขาฮ่องกงผู้ต้องหารสังหารหญิงค้าบริการ 2 ราย และซ่อนร่างผู้เสียชีวิตในกระเป๋าเดินทางที่ทิ้งไว้บริเวณระเบียงของอพาทเมนต์สุดหรูในฮ่องกง นั้นพบว่าถูกถอนใบอนุญาตซื้อขายหลักทรัพย์ในวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถทำงานในฮ่องกงต่อได้ ซึ่งเขามีรายได้ 350,000 ปอนด์ /ปี และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่ได้ลงมือสังหารเหยื่อรายแรก
เดลิเมล สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้(4)ว่า รูริค จัตติง (Rurik Jutting) ชาวอังกฤษ วัย 29 ปี ประกาศเป็นครั้งแรกว่า “ผมไม่ได้เป็นไอ้โรคจิต” หลังจากที่คดีสังหารโหดหญิงเชื้อสายเอเชีย 2 คนถูกพบเป็นศพในอพาทเมนต์สุดหรูเขตหว่านไจ๋ (Wanchai) ในช่วงก่อนรุ่งสางของวันเสาร์ (1) ของอดีตนายธนาคาร แบงก์ออฟอเมริกา เมอร์ริล ลินช์ สาขาฮ่องกงเปิดเผยสู่สาธารณะ
และเมื่อตำรวจฮ่องกงได้สอบสวนลึกลงไป ทำให้พบว่าใบอนุญาตการซื้อขายหลักทรัพย์ของจัตติงถูกเพิกถอนในวันเดียวกันกับที่พบว่าเหยื่อรายแรกถูกสังหาร
ทั้งนี้ใบอนุญาตของมือเชือดอดีตนายธนาคารนั้นถูกเพิกถอนโดย Hong Kong Securities & Futures Commission ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ออกใบอนุญาตให้ก่อนหน้านั้น วอลสตรืเจอร์นัล รายงาน
โดยเจ้าหน้าสอบสวนต้องการอยากรู้ว่า จัสติงนั้นเป็นพวก “rogue trader” หรือนักค้าที่ทำการซื้อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ และทางตำรวจฮ่องกงต้องการทราบเพิ่มเติมว่า การที่ รูริค จัตติง ถูกเพิกถอนใบอนุญาตนั้นเป็นชนวนนำไปสู่การสังหารโหดหญิงสาวทั้งสองหรือไม่
เดลิเมลรายงานเพิ่มเติมว่า แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดได้ให้ข่อมูลว่า จัตติง วัย 29 ปี มีบุคลิกที่พูดเปิดอกตรงไปตรงมาในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปอย่างไม่มีปิดบัง โดยเขาได้ให้ปากคำว่า เหยื่อทั้งสองคนนั้นเสียชีวิตในอพาทเมนต์ของเขา และไม่มีใครอื่นอีกที่อาศัยอยู่ที่นั่น แต่จัตติงยืนยันกับแหล่งข่าวว่า “เขาไม่ได้เสียสติ”
ด้านทนายความของจัตติงเปิดเผยว่า ลูกความชาวอังกฤษร่างท้วมผู้นี้จะถูกนำตัวไปทำแผนประกอบคดีในวันศุกร์(7)ที่จะถึงนี้ หลังจากที่ได้ตกเป็นผู้ต้องหาสังหารเหยื่อหญิงบริการทั้งสองคนนั้น ซึ่งการทำแผนถือเป็นเรื่องปกติในการทำคดีของฮ่องกง แต่แหล่งข่าวคนเดิมเผยว่า จัตติงรู้สึกโกรธและหงุดหงิดที่ต้องบันทึกวิดีโอทำแผนประกอบคดีนี้
ทั้งนี้ผู้ต้องหาอดีตนักค้าหลักทรัพย์ชาวอังกฤษถูกจับกุมในคืนดึกวันฮาโลวีน (31 ตุลาคม) หลังจากได้โทรศัพท์แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งภายหลังเมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึง และพบว่า เจสซี โลเรนา รูรี (Jesse Lorena Ruri) หญิงบริการทางโทรศัพท์ ชาวฟิลิปปินส์ วัย 32 ปี ถูกพบนอนเสียชีวิต ในสภาพที่เธอถูกเชือดบริเวณลำคอ และมีรอยแผลถูกแทงที่บริเวณบั้นท้าย และหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกงยังพบร่างของ ซูมาร์ตี นิงซีห์ (Sumarti Ningsih ) วัย 23 ปี หญิงบริการชาวอินโดนีเซีย ที่ร่างของเธอถูกมัดด้วยเชือก และกำลังอยู่ในสภาพเน่าเปื่อยซ่อนอยู่ภายในกระเป๋าเดินทางสีดำ โดยในหลักฐานคำฟ้องชี้ว่า ร่างที่เน่าเปื่อยของนิงซีห์นั้นถูกทิ้งมา 5 วันแล้วนับตั้งแต่อดีตนักค้าเมอร์ริล ลินช์ผู้นี้ได้เริ่มอัพเดตเฟสบุ๊ก ที่มีข้อความรำพันถึงการเริ่มต้นเดินทางครั้งใหม่
นอกจากนี้สื่ออังกฤษยังรายงานว่า พยานที่เห็นเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า พบเห็นจัสติงกำลังบีบคอเจสซีบนถนนไม่กี่ชั่วโมงก่อนเธอจะถูกพบเป็นศพ โดยทั้งหนุ่มอังกฤษมือเชือดวัย 29 ปี และเหยื่อผู้เสียชีวิตที่พบเป็นศพทั้งคู่นั้นอยู่ในสถานภาพความสัมพันธ์รักสามเส้า เพื่อนของผู้เสียชีวิตหนึ่งในนั้นให้สัมภาษณ์กับสื่อไทม์ส
และล่าสุดเมื่อวานนี้(4)แหล่งข่าวอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกงเปิดเผยว่า จัตติงดูเหมือนมีการใช้ยาเสพติด เช่น โคเคน และแอมเฟตามีน เข้าเกี่ยวข้องในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ และเป็นผลทำให้เขามีสภาพคล้ายกับซอมบี้เดินได้
“บางครั้งจัตติงเดินเข้าผับในช่วงเช้าวันเสาร์และวันอาทิตย์ในสภาพที่แทบไม่เป็นผู้เป็นคน เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เขาอยู่ที่ไหน และเขากำลังทำอะไร” แหล่งข่าวฮ่องกงกล่าว และเสริมต่อว่า “และบางทีอดีตนักค้าเมอร์ริล ลินช์แสดงความก้าวร้าวออกมากับลูกค้าคนอื่น ที่บางทีถึงขั้นปัดให้เครื่องดื่มลูกค้าตกแตก และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผลจากสภาพที่เหมือนผีดิบเดินได้ของจัตติงจะเกิดจากการใช้ยาเสพติดแน่นอน”
อดีตเจ้าหน้าที่ผู้นี้ยังให้ข้อมูลเรื่องชาวต่างชาติใช้ยาเสพติดในฮ่องกงว่า “ “โคเคน” ถือเป็นยาเสพติดสำหรับชาวต่างชาติที่ทำงานในแวดวงการธนาคารในฮ่องกงจะเลือก และนอกจากนี้ยังมีบาร์บางแห่งในเขตหว่านไจ๋ที่ชาวต่างชาติเหล่านี้จะหาซื้อยาเสพติดเพื่อเสพได้ง่าย ซึ่งโคเดนมีฤทธิ์ที่จะทำให้ร่างกายรู้สึกช้าลง และดูเหมือนจัสติงจะใช้แอมเฟตามีนเพื่อทำให้เขามีความรู้สึกพลุ่งพล่านมากขึ้น”
และอดีตเจ้าหน้าที่ฮ่องกงยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับจัสติงเพิ่มเติมว่า “ดูเหมือนหนุ่มอังกฤษผู้นี้จะไม่ “ป๊อปปูล่า” ในหมู่สาวบริการที่วนเวียนไปยังผับแห่งนี้ในช่วงดึก แต่ไม่ปรากฏว่าสถานที่แห่งนี้อนุญาตให้หญิงบริการสามารถเลือกแขกได้ตามต้องการ
อย่างไรก็ตาม หนุ่มนักเชือดวัย 29 ปีไม่เคยปิดบังว่า เขาทำงานกับธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา เมอร์ริล ลินช์ แต่สิ่งนี้ไม่กลับทำให้ตัวเขามีความน่าสนใจ โดยพบว่ามีหญิงบริการน้อยรายมากที่จะสนใจในตัวเขา เพราะจัตติงจัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่ชอบใช้กำลัง เห็นแก่ตัว รวมไปถึงพยายามจ่ายค่าตัวการขึ้นห้องด้วยสนนราคาที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
อดีตเจ้าหน้าที่ฮ่องกงยังกล่าวเสริมต่อว่า รู้จักหญิงสาวผู้เสียชีวิตทั้งสองรายที่ตกเป็นเหยื่อของจัสติงดี และยอมรับว่าเธอทั้งคู่เป็นคนดี ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ถือเป็นโศกนาฎกรรมที่เลวร้าย
นอกจากนี้เดลิเมลรายงานต่อว่า ในคืนวันจันทร์(3)ล่าสุด มีรายงานเพิ่มเติมเข้ามาว่า จัตติงดูเหมือนจะมีรสนิยมมีเพศสัมพันธ์ร่วมกับหญิง 2-3 คนในเวลาเดียวกัน และยังมีการจัดปาร์ตี้เซ็กส์หมู่ข้ามวันข้ามคืนที่มีการใช้ยาเสพติดเข้าเกี่ยวข้องในที่พักของเขา
และจากรายงานพบว่า ก่อนหน้านี้นักค้าหลักทรัพย์ชาวอังกฤษวัย 29 ปีผู้นี้จะคบหาหญิงสาวหลายคน มากหน้าหลายตา และต้องเสียใจเป็นอย่างมากเมื่อหญิงสาวที่เขาคิดจริงจังด้วยได้นอกใจ
เดอะ เทเลกราฟ สื่ออังกฤษ รายงานว่า ซาราห์ บัตต์ (Sarah Butt) ชาวอังกฤษ วัย 28 ปีได้คบหากับจัสติงเป็นเวลา 2 เดือนหลังจากได้พบกันในปี 2010 ในขณะที่คนทั้งคู่ทำงานที่ธนาคารบาร์เคลย์ (Barclays Bank) ในกรุงลอนดอน
แต่อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า จัตติงทราบข่าวว่าแฟนสาวได้ยืนจูบกับหนุ่มอื่นหลังจากที่เธอได้ย้ายไปทำงานกับโกลแมน แซคส์ ที่นิวยอร์กในปี 2013 และคนทั้งคู่ได้เลิกลาในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า จัตติงยังได้เคยคบหากับนักเรียนออกแบบแฟชั่นอังกฤษ ซอนยา ไดเออร์ (Sonya Dyer) วัย 29 ปี ชาวอังกฤษ ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยขนานนามจัตติงว่า “คุณสามี” หรือ Hubby แต่เธอปฎิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆเกี่ยวกับจัตติงในคืนวันจันทร์(3)เมื่อถูกสื่ออังกฤษสอบถาม
และในขณะเดียวกันเมื่อข่าวการจับกุมของจัสติงเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ครอบครัวของเขาในอังกฤษต้องตกตะลึง เฮเลน จัตติง มารดาวัย 52 ปี เกิดในฮ่องกงในขณะที่บิดาของเธอทำงานเป็นตำรวจที่นั่น ไม่ขอออกความเห็นใดหลังจากที่เดลิเมลได้เข้าสอบถามในขณะที่เธอทำงานในร้านขายบาร์นมปั่น Milkshake ในเซอร์เรย์ อังกฤษ รวมไปถึงบิดาของเขา เกรแฮม จัตติง วัย 53 ปี อาชีพวิศวกรโรงงาน และปรากฎว่าคนทั้งคู่ยังมีบุตรชายอีกหนึ่งคนอาศัยในไบรท์ตัน อังกฤษ