เอเอฟพี - โสมแดงวันนี้ (13 ต.ค.) ออกมาแถลงเตือนว่า ศพของทหารอเมริกันที่ถูกทอดทิ้งไว้ในเกาหลีเหนือ หลังจากพวกเขาสิ้นชีพในสงครามเกาหลี กำลังถูก “ทำลาย” โดยโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดยักษ์ พร้อมทั้งโทษว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากวอชิงตันละทิ้งภารกิจกู้ศพเหล่านี้
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า มีชาวอเมริกันเกือบ 8,000 นายที่สูญหายไปในช่วงสงครามเกาหลีระหว่างปี 1950 ถึง 1953
โฆษกของคณะผู้แทนกองทัพเกาหลีเหนือ ในหมู่บ้านปันมุนจอม บริเวณพรมแดนรอยต่อระหว่างสองเกาหลี ซึ่งเป็นสถานที่ที่โสมแดงและโสมขาวบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกล่าวว่า “ศพจำนวนมากถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการเหลียวแล และถูกทำลายเป็นจำนวนมาก”
โฆษกผู้นี้ระบุในคำแถลงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า การที่ร่างของทหารสหรัฐฯ ถูกทำลายส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการก่อสร้างโดยรอบโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ รวมถึง การสร้างสถานีผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำ
นับตั้งแต่ปี 1996 คณะทำงานของกองทัพเกาหลีเหนือ และกองทัพสหรัฐฯ ได้ดำเนินภารกิจกู้ศพทหารร่วมกันมาแล้ว 33 ครั้ง โดยสามารถนำศพขึ้นมาได้แล้ว 225 ศพ แต่ โดนัลด์ รัมสเฟลด์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ในเวลานั้นได้สั่งระงับกระบวนการดังกล่าวเมื่อปี 2005 เนื่องจากเป็นห่วงความปลอดภัยของทีมเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในช่วงที่เกิดกระแสตึงเครียดเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของเปียงยางเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อปี 2011 ทั้งสองฝ่ายยอมตกลงจะกลับมาดำเนินภารกิจร่วมกันอีกครั้ง แต่สหรัฐฯ ล้มเลิกแผนการดังกล่าวไป เพื่อประท้วงที่เกาหลีเหนือตัดสินใจผลักดันโครงการสร้างแท่นปล่อยจรวดอวกาศ ที่แดนอินทรีมองว่า เป็นโครงการบังหน้าการสร้างแท่นยิงขีปนาวุธ
โฆษกโสมแดงกล่าวว่า “ประวัติศาสตร์จะสาปแช่ง และประณามรัฐบาลสหรัฐฯ ... ที่ละทิ้งภารกิจทางมนุษยธรรมภารกิจนี้”
ทางด้าน โฆษกกองทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ได้เพิกเฉยต่อถ้อยแถลงดังกล่าว โดยชี้ว่าเป็น “การกล่าวหาที่เกาหลีเหนือทำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
ก่อนหน้านี้ เปียงยางได้ยกประเด็นที่มีทหารหายสาบสูญไป เพื่อพยายามโน้มน้าวให้วอชิงตันเข้าร่วมการเจรจาทวิภาคี
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในอดีตเกาหลีเหนือเคยได้รับเงินหลายล้านดอลลาร์ จากการร่วมมือกับวอชิงตันกู้ร่างทหารอเมริกันที่เสียชีวิตในสงครามเกาหลีขึ้นมา