เอเอฟพี - แพทย์ชาวอเมริกาคนหนึ่งที่กำลังรักษาอาการอีโบลาอยู่ในเนบราสกา และได้รับการถ่ายเลือดจากหมออีกคนที่หายจากไวรัสมรณะชนิดนี้ อาการดีขึ้นแล้ว จากการเปิดเผยของโรงพยายาลในวันศุกร์(12) อย่างไรก็ตามยังไม่ฟันธงว่าการฟื้นไข้ของเขาเกี่ยวข้องกับวิธีการรักษาที่แหวกแนวนี้หรือไม่ ขณะที่ยอดเหยื่อโรคระบาดนี้ในแอฟริกาตะวันตกยังทะยานไม่หยุด ล่าสุดพุ่งขึ้นไปกว่า 2,400 ศพแล้ว
ริค ซากรา แพทย์มิชชันนารีคริสเตียน ติดเชื้ออีโบลาขณะปฏิบัติหน้าที่สูตินรีแพทย์ในไลบีเรีย และบินกลับมารักษาตัวในสหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเขาได้รับน้ำเหลืองจากนายเคนท์ แบรนท์ลีย์ แพทย์อเมริกาอีกคน ที่ติดเชื้อขณะช่วยรักษาคนไข้ในกรุงมันโรเวีย ซึ่งฟื้นไข้หายเป็นปกติหลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในแอตแลนตา
รายงานล่าสุดระบุจากเดิมอาการของซากราอยู่ในขั้นวิกฤต เวลานี้ดีขึ้นแล้ว หนึ่งสัปดาห์หลังจากถ่ายน้ำเหลืองและได้รับการรักษาในเชิงทดลองโดยเหล่าคณะแพทย์ที่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม
อย่างไรก็ตามทาง ฟิล สมิธ ผู้อำนวยการแผนกจุลชีพของศูนย์การแพทย์เนบราสกา บอกว่ามันยังไม่ชัดเจนว่าวิธีการรักษาดังกล่าวมีส่วนช่วยให้ ซากรา อาการดีขึ้น "เราสรุปว่า เราควรให้ความสนใจในการช่วยชีวิต ริค มากกว่าที่จะพยายามใส่ใจกับผลการศึกษาโดยตรง ดังนั้นเราจึงแค่พยายามให้ยาทุกอย่างที่เราเข้าถึง"
กระนั้นก็ดีเป็นที่สังเกตว่า ตอนที่นายแบรนท์ลีย์ ล้มป่วยด้วยอีโบลา ในมันโรเวีย เขาก็ได้รับเลือกจากเด็กที่ฟื้นตัวจากไวรัสมรณะชนิดนี้เช่นกัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขโลกเห็นพ้องกันที่เจนีวา อนุญาตให้ใช้วิธีบำบัดด้วยเลือดและเซรุ่มระยะฟื้นโรคต่อสู้กับอีโบลา ขณะที่วัคซีนป้องกันยังอยู่ในขั้นทดลองความปลอดภัย
แม้ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้แอนติบอดี้ที่สกัดจากโลหิตของผู้รอดชีวิตจากไวรัสอีโบลา ทว่า การที่โลกยังไม่มียาหรือวัคซีนที่ได้รับการรับรองว่า สามารถใช้กับอีโบลาได้ ทำให้ทางเลือกใหม่นี้คุ้มค่าต่อการทดลอง ด้วยเหล่าผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าแอนติบอดี้ที่สกัดจากโลหิตของผู้รอดชีวิต บางทีอาจช่วยเหลือคนอื่นๆต่อสู่กับโรคติดต่อมรณะนี้ได้
อีกด้านหนึ่ง องค์การอนามัยโลกเผยในวันศุกร์(12ก.ย.) ว่าการแพร่ระบาดของอีโบลาครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้คร่าชีวิตผู้คนในแอฟริกาตะวันตกแล้วมากกว่า 2,400 ราย จากจำนวนผู้ติดเชื้อเกือบ 5,000 คน
มาร์กาเรต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกแถลงกับผู้สื่อข่าวในเจนีวา ว่า "ใน 3 ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดได้แก่ไลบีเรีย เซียร์ราลีโอนและกินี จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วกว่าที่เราจะจัดการมัน"