เอเอฟพี – นายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษรับปากจะส่งทหาร 3,500 นายเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจกับกองกำลังเคลื่อนที่เร็วขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เพื่อรับมือภัยคุกคามใหม่ๆ เช่น วิกฤตความขัดแย้งในยูเครน หรือกลุ่มติดอุธอิสลามิสต์ในซีเรียและอิรัก
คาเมรอน แถลงระหว่างการประชุมซัมมิตนาโตวันที่สองที่แคว้นเวลส์เมื่อวานนี้(5)ว่า องค์การนาโตซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1949 เพื่อป้องกันภูมิภาคยุโรปตะวันตกจากการคุกคามของสหภาพโซเวียต จำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าบทบัญญัติที่ 5 ซึ่งกำหนดให้ทุกประเทศภาคีต้องร่วมกันปกป้องชาติสมาชิกที่ถูกโจมตี ยังคงมีผลบังคับใช้อย่างจริงจัง
เพื่อเป็นการเน้นย้ำเจตนารมณ์ของอังกฤษที่จะยกระดับศักยภาพด้านการป้องกันยุโรป คาเมรอน จึงประกาศด้วยว่า อังกฤษจะนำเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 2 ออกมาใช้งาน ซึ่งหมายถึงเรือ “ปรินซ์ ออฟ เวลส์” ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลลอนดอนเคยพิจารณาว่าจะขาย หรือเก็บเข้าอู่เพื่อประหยัดงบประมาณ
“ในเมื่อรัสเซียเหยียบย่ำอธิปไตยของยูเครนโดยไม่ใส่ใจกฎหมาย เราก็จำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่ชาติสมาชิกนาโตในยุโรปตะวันออกว่า พวกเราจะยึดถือบทบัญญัติที่ 5 อย่างเคร่งครัด”
ผู้นำอังกฤษชี้ว่า การจะทำเช่นนั้นได้ “นาโตจะต้องสามารถตอบโต้ภัยคุกคามต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว” พร้อมแสดงความคาดหวังว่าสมาชิกนาโตทั้ง 28 ประเทศจะเห็นชอบกับแผนจัดตั้ง “กองกำลังเคลื่อนที่เร็ว ซึ่งจะสามารถเดินทางไปปฏิบัติภารกิจทุกภาคส่วนของโลกได้ภายใน 2-5 วัน”
หน่วยรบที่ว่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังตอบโต้ของนาโต (Nato Response Force) ซึ่งมีฐานอยู่ที่โปแลนด์ โดยจะมีการจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปประจำการล่วงหน้า และฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้พร้อมปฏิบัติภารกิจได้ทันที
“หากทุกฝ่ายเห็นชอบกับแผนนี้ สหราชอาณาจักรก็พร้อมที่จะส่งกำลังสนับสนุน 3,500 นาย” คาเมรอน กล่าว
ในส่วนของเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 2 ซึ่งกองทัพอังกฤษจะนำมาใช้งานอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไปนั้น นายกฯเมืองผู้ดี กล่าวว่า “มันเป็นการลงทุนเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง ความเจริญรุ่งเรือง และสถานะของอังกฤษบนเวทีนานาชาติ ช่วยให้เรามีศักยภาพไม่ว่าจะในฐานะประเทศเดี่ยวๆ หรือร่วมมือกับพันธมิตรก็ตาม”
ปรินซ์ ออฟ เวลส์ และ ควีน เอลิซาเบธ ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินพี่น้องที่ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อเดือนที่แล้ว ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างซึ่งต้องใช้งบประมาณสูงถึง 6,200 ล้านปอนด์ (ราว 323,000 ล้านบาท)