เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - ในยามที่อิสราเอล ซึ่งเป็นชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ กำลังถูกโจมตึด้วยกองทัพจรวดจากฉนวนกาซา คณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของวุฒิสภาอเมริกันวานนี้ (15 ก.ค.) ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือ 50 เปอร์เซ็นต์ให้แก่อิสราเอล เพื่อนำไปพัฒนาระบบต่อต้านขีปนาวุธ “ไอออนโดม”
หากมาตรการดังกล่าวถูกประกาศใช้เป็นกฎหมาย สหรัฐฯ จะต้องจัดหาเงิน 621.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2 หมื่นล้านบาท) ให้แก่โครงการต่อต้านขีปนาวุธของอิสราเอล ในปีงบประมาณ 2015 ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคมนี้ โดยเงิน 351 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.1 หมื่นล้านบาท) ในกองทุนนี้จะถูกนำไปใช้พัฒนาระบบต่อต้านขีปนาวุธพิสัยใกล้ไอออนโดม ซึ่งกำลังถูกทดสอบประสิทธิภาพอย่างหนักหน่วงในช่วง 8 วันทีผ่านมา ขณะที่ขบวนการติดอาวุธฮามาสระดมยิงจรวดตอบโต้ปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพอิสราเอล
เมื่อปีที่แล้ว รัฐสภาสหรัฐฯ ได้จัดสรรเงินช่วยเหลือ 235 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.5 พันล้านบาท) เพื่อสนับสนุนระบบไอออนโดม
ทำเนียบขาวได้ทำเรื่องขอเงินราว 176 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.6 พันล้านบาท) เพื่อพัฒนาระบบต่อต้านขีปนาวุธในปี 2015 แต่สมาชิกสภาตัดสินใจเพิ่มวงเงินเป็น 2 เท่า ทั้งนี้ รัฐสภาอเมริกันมักจะเพิ่มเงินสนับสนุนโครงการด้านความมั่นคงของอิสราเอลที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้ผลักดันอยู่บ่อยครั้ง
การมอบเงินช่วยเหลือถือเป็นส่วนหนึ่งของคำขอของรัฐบาลอเมริกันที่ประสงค์จะส่งความช่วยเหลือทางการทหารมูลค่า 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1 แสนล้านบาท) ให้แก่อิสราเอล ซึ่งเป็นชาติที่ได้รับผลประโยชน์รายใหญ่ที่สุด จากกองทุนช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐฯ
เมื่อเดือนพฤษภาคม สภาผู้แทนราษฎรได้ประกาศใช้รัฐบัญญัติงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งเหมือนกับข้อเสนอที่วุฒิสภาจัดทำเพื่อขอเงินช่วยเหลือพัฒนาระบบไอออนโดม
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวของวุฒิสภาสหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมดของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากคณะอนุกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณประจำวุฒิสภา โดยวานนี้ (15) คณะอนุกรรมาธิการชุดนี้ได้ให้คำมั่นว่าจะอนุมัติเงิน 5.493 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 18 ล้านล้านบาท) ให้แก่ปฏิบัติการทหารในปี 2015
งบประมาณก้อนนี้ช่วยรักษาโครงการของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หลายโครงการที่กำลังถูกนำขึ้นเขียงเอาไว้ อย่างอากาศยานปราบรถถัง A-10 ที่ ส.ว.จอห์น แมคเคน กล่าวว่าเป็น “อาวุธสนับสนุนทางอากาศอย่างใกล้ชิดที่ดีที่สุดในคลังแสงของสหรัฐฯ”
อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ยังคงต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณประจำวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด