เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ของจีน ใช้โอกาสรำลึกครบรอบ 77 ปีการเริ่มต้นสงครามจีน-ญี่ปุ่น เมื่อวันจันทร์ (7 ก.ค.) ประณามพวกที่ “เติมแต่งประวัติศาสตร์แห่งการรุกรานให้กลายเป็นภาพสวยงาม” อันเป็นการปล่อยหมัดแย็บเข้าใส่นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น
สงครามจีน-ญี่ปุ่น หรือที่ฝ่ายจีนเรียกขานว่า สงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น ถือว่าเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างกองทหารจีนกับกองทหารญี่ปุ่นที่บริเวณสะพานมาร์โคโปโล ในกรุงปักกิ่งเมื่อปี 1937
เป็นที่น่าสังเกตว่า พิธีรำลึกเหตุการณ์สะพานมาร์โคโปโลในปีนี้ ฝ่ายจีนจัดค่อนข้างเอิกเกริกใหญ่โตกว่าทุกปี ซึ่งรวมถึงการปราศรัยถ่ายทอดทางทีวีทั่วประเทศของประธานาธิบดีสี และแคมเปญปลุกกระแสต่อต้านญี่ปุ่น
ปัจจุบัน สองประเทศกำลังแย่งชิงหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออก นอกจากนั้นจีนยังแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยต่อการที่อาเบะ นายกรัฐมนตรีชาตินิยมจัดของญี่ปุ่น กำลังผลักดันการตีความรัฐธรรมนูญใฝ่สันติภาพของแดนอาทิตย์อุทัยเสียใหม่ เพื่อขยายบทบาททางทหารของญี่ปุ่น
“น่าเสียดายที่หลังจากชัยชนะของจีนในสงครามต่อต้านการรุกรานและต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์ของญี่ปุ่น ได้ผ่านพ้นมาเกือบ 70 ปี ยังคงมีคนกลุ่มเล็กๆ ที่ละเลยเมินเฉยต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ละเลยเมินเฉยชีวิตนับแสนนับล้านที่สังเวยให้กับสงคราม ผู้ที่คเรทานกระแสประวัติศาสตร์ ปฏิเสธและกระทั่งแต่งเติมประวัติศาสตร์แห่งการรุกรานให้กลายเป็นภาพสวยงาม และคุกคามความไว้วางใจร่วมกันระหว่างประเทศ รวมทั้งสร้างความตึงเครียดภายในภูมิภาค” สีประกาศเมื่อวันจันทร์ (7) ในพิธีรำลึกที่จัดขึ้นที่หรือสะพานมาร์โคโปโล หรือ “หลูโกวเฉียว”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 1937 กองทัพญี่ปุ่นที่เข้ายึดหลายพื้นที่ทางภาคเหนือของจีนตั้งแต่ปี 1905 ได้ยั่วยุจนเกิดการปะทะกับทหารจีนที่สะพานมาร์โคโปโล เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการบุกเข้าตีกรุงปักกิ่ง จากนั้นก็เข้าโจมตีดินแดนอื่นๆ ของจีน และกลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อมาจนกระทั่งญี่ปุ่นพ่ายแพ้กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 โดยที่มีชาวจีนเสียชีวิตราว 20 ล้านคน
ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศยิ่งร้าวฉานอย่างหนัก หลังจากเมื่อปลายปีที่แล้ว นายกรัฐมนตรีอาเบะ เดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิ ที่เป็นสถานที่บูชาดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตในสงครามครั้งต่างๆ ของญี่ปุ่น รวมทั้งผู้ที่ถูกตัดสินว่าเป็นอาชญากรสงครามในสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่เครือข่ายเอ็นเอชเคของญี่ปุ่นก็ช่วยสุมไฟแค้น ด้วยการปฏิเสธว่า เหตุการณ์สังหารหมู่พลเรือนจีนนับหมื่นนับแสนคนที่เมืองหนานจิง (นานกิง) โดยทหารญี่ปุ่นนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมทั้งยังแก้ต่างให้แก่การที่กองทัพพระจักรพรรดิกวาดต้อนเอาสตรีของประเทศต่างๆ รวมทั้งชาวจีน มาเป็น “สตรีบำเรอกาม” ของทหารญี่ปุ่น
ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ปักกิ่งพยายามปลุกเร้าให้ประชาชนภายในประเทศและนานาชาติรับรู้การก้าวร้าวรุกรานในช่วงสงครามของญี่ปุ่น เป็นต้นว่า ในเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ยื่นเอกสาร 11 ชุดเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่นานกิง ซึ่งรวมถึงสมุดบันทึกประจำวันและคำให้การที่บรรยายความป่าเถื่อนของญี่ปุ่น ต่อยูเนสโก โดยระบุว่า เป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์
สัปดาห์ที่ผ่านมา จีนโพสต์เอกสารที่เป็นบันทึกส่วนตัวเกี่ยวกับความโหดร้ายของญี่ปุ่นในจีน และเริ่มเผยแพร่ “คำสารภาพ” ของอาชญากรสงครามญี่ปุ่นเป็นประจำทุกวัน โดยมีกำหนดการเผยแพร่ทั้งหมด 45 วัน
ในวันอาทิตย์ (6) ปักกิ่งเปิดเว็บไซต์กระตุ้นการรำลึกถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่นานกิง ตลอดวันดังกล่าวสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน (ซีซีทีวี) ยังเผยแพร่สารคดีความทรงจำของชายวัย 85 ปีที่ถูกบังคับใช้แรงงานในเหมืองญี่ปุ่นในช่วงสงครามทุกๆ ชั่วโมง และต่อมาในวันจันทร์ มีการแพร่ภาพการให้การอย่างโกรธแค้นระคนเศร้าของเหยื่อที่ถูกกองทัพพระจักรพรรดิกระทำย่ำยี ในระหว่างการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามชาวญี่ปุ่นในปี 1956
การปราศรัยของสี ในคราวนี้ ยังมีขึ้นหลังจากที่ผู้นำจีนเพิ่งเสร็จสิ้นการเยือนเกาหลีใต้ ซึ่งก็มีความทรงจำเลวร้ายเกี่ยวกับความป่าเถื่อนของญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน โดยมีรายงานว่าสีและประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย ได้หารือเรื่องการร่วมกันจัดงานรำลึก 70 ปีความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีหน้า
ทางด้านโตเกียว โยชิฮิเดะ ซูกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้กล่าวให้ความเห็นถึงพิธีรำลึกในปักกิ่งว่า จีนพยายามนำเรื่องราวจากประวัติศาสตร์มาทำให้เป็นปัญหาระหว่างประเทศโดยไม่จำเป็น และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการสร้างสันติภาพและความร่วมมือภายในภูมิภาคแต่อย่างใด
ซูกะกล่าวว่า ญี่ปุ่นได้รับการยอมรับจากนานาชาติในฐานะที่เป็นประเทศใฝ่สันตินับแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และจะเดินหน้าส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งของนานาประเทศ และสร้างความสัมพันธ์ที่มองไปข้างหน้าต่อไป