รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - เจ้าหน้าที่สำนักงานสืบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ตกเป็นข่าวกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสาย “โซมาเลีย” ในมลรัฐมินเนโซตา หลังมีข้อมูลข่าวกรองที่ระบุว่า คนกลุ่มนี้เดินทางเข้าไปยังซีเรียเพื่อเข้าร่วมกับพวกนักรบอิสลามิสต์สุดโต่งในฝ่ายกบฏซีเรีย และจับอาวุธทำสงครามกลางเมืองโค่นล้มรัฐบาลบาชาร์ อัล-อัสซาด
ไคล์ โลเวน โฆษกเอฟบีไอประจำสำนักงานในเมืองมินนีอาโพลิส ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทางเอฟบีไอได้รับข้อมูลที่ทำให้เชื่อได้ว่า มีกลุ่มชายชาวอเมริกันเชื้อสายโซมาเลียราว 10-15 คน จากเขตเมืองมินนีอาโพลิส-เซนต์ พอลในมลรัฐมินนีโซตา ที่เดินทางไปยังซีเรีย และพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าคนกลุ่มนี้ได้ไปเข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธของพวกมุสลิมสุหนี่หัวรุนแรงที่แฝงตัวอยู่ในฝ่ายกบฏซีเรีย
รายงานข่าวระบุว่า ขณะนี้ทั้งเอฟบีไอ ตลอดจนกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และหน่วยข่าวกรองต่างๆ กำลังเฝ้าติดตามประเด็นร้อนนี้อย่างใกล้ชิด หลังมีความกังวลว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายโซมาเลียกลุ่มนี้ที่เดินทางไปทำสงครามกลางเมืองในซีเรีย อาจกลับมายังแผ่นดินอเมริกาและอาจลงมือก่อเหตุโจมตีที่จะทำให้มีชาวอเมริกันเสียชีวิต และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับเหตุก่อวินาศกรรม 11 กันยายน ปี 2001
ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2007 เอฟบีไอเคยเปิดการสืบสวนในประเด็นที่คล้ายคลึงกัน หลังมีข้อมูลข่าวกรองในเวลานั้นที่ระบุว่ามีกลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายโซมาเลียจากมลรัฐเดียวกันนี้เดินทางไปยังประเทศโซมาเลีย ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกาเพื่อเข้าร่วมกลุ่มหัวรุนแรง “อัล ชาบาบ”
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ ทางการสหรัฐฯเพิ่งออกมายืนยันว่า โมเนอร์ โมฮัมหมัด อาบู-ซัลฮา ชายชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับจากมลรัฐฟลอริดาได้กลายเป็น “มือระเบิดฆ่าตัวตายชาวอเมริกันคนแรก” ที่เสียชีวิตหลังก่อเหตุโจมตีในซีเรีย ขณะที่หน่วยข่าวกรองของหลายประเทศในยุโรป ซึ่งรวมถึงสหราชอาณาจักร เบลเยียม เนเธอร์แลนด์และเยอรมนี ต่างยืนยันว่าพบพลเมืองของตนจำนวนหลายร้อยคนเดินทางเข้าไปทำสงครามในซีเรียเช่นกัน
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของรัฐบาลอเมริกันระบุว่า กว่าร้อยละ 40 ของผู้อพยพชาวโซมาเลียที่เข้ามาตั้งรกรากในแผ่นดินอเมริกานั้น อยู่ที่มลรัฐมินนีโซตา โดยล่าสุดประชากรที่มีเชื้อสายโซมาเลียในมลรัฐแห่งนี้ได้เพิ่มจำนวนเป็นมากกว่า 84,000 รายแล้ว