เอเอฟพี - “เอ็กซ์ซอนโมบิล” กิจการยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันของสหรัฐฯ แถลงวันนี้ (26 พ.ค.) ว่าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ล็อตแรกจากโครงการมูลค่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.19 แสนล้านบาท) ในปาปัวนิวกินีถูกส่งไปยังญี่ปุ่นแล้ว
โครงการนี้เป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชาติแถบมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้ และปีเตอร์ เกรแฮม กรรมการผู้จัดการของเอ็กซ์ซอนโมบิลชี้ว่าการส่งสินค้าล็อตนี้ ซึ่งเกิดขึ้นหลังเริ่มต้นการก่อสร้างได้ 4 ปีคือ “ช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์”
เขากล่าวว่า “โครงการนี้เป็นโครงการทรัพยากรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และต้องระดมกำลังของผู้คนหลายพันคนเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ”
“เงินรายได้จากโครงการ พีเอ็นจี แอลเอ็นจี จะช่วยส่งเสริมให้ปาปัวนิวกินีสามารถเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต่อไปได้”
“โครงการพีเอ็นจี แอลเอ็นจี ทำให้โลกมองเห็นศักยภาพของปาปัวนิวกินี”
โครงการนี้จะจัดหาน้ำมันป้อนลูกค้ารายสำคัญ 4 รายในไต้หวัน ญี่ปุ่น และจีน ทั้งยังเป็นที่คาดหมายกันว่า จะสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวได้ถึง 2.55 แสนล้านลูกบาศก์เมตร ในระหว่างดำเนินโครงการ 30 ปี
ในช่วงที่โครงการกำลังก้าวหน้าถึงขีดสุด ได้มีการจ้างงานกว่า 21,000 อัตราในช่วงดำเนินการก่อสร้าง โดยที่บรรดาผู้ปฏิบัติงานต้องเผชิญกับน้ำท่วม และเส้นทางที่มีความลาดชันสูง ขณะที่พวกเขาสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ลานบิน และถนน จากเส้นทางอันขรุขระ
นายกรัฐมนตรี ปีเตอร์ โอนีล แห่งปาปัวนิวกินีระบุว่า “ไม่เพียงแต่ประชาชนชาวปาปัวนิวกินีจะได้รับผลประโยชน์ในตอนนี้เท่านั้น ลูกหลานของพวกเขายังจะได้รับกำไร และผลลัพธ์ที่ดีจากการพัฒนาทรัพยากรที่มีค่าเหล่านี้ต่อไปอีกหลายปี”
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้วิจารณ์กล่าวว่า โครงการนี้ส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างใหญ่หลวง และก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ พวกเขายังตั้งคำถามว่า รัฐบาลปาปัวนิวกินี ซึ่งอยู่ในลำดับต้นๆ ของการจัดอันดับรัฐบาลที่มีพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันโดยนานาชาติ จะนำรายได้จากโครงการนี้ไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์อย่างรอบคอบหรือไม่
โครงการนี้ ยังรวมถึงการโรงงานผลิตก๊าซและแปรรูป ในจังหวัดเซาเทิร์นไฮแลนด์ และจังหวัดเวสเทิร์น ของปาปัวนิวกินี รวมถึงโรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว และโรงเก็บก๊าซในอ่าวปาปัว ตลอดจนท่อส่งที่มีความยาวกว่า 700 กิโลเมตร
ทั้งนี้ เอ็กซ์ซอนโมบิลคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในโครงการ (33.2 เปอร์เซ็นต์) ขณะที่หุ้นส่วนรายอื่นๆ ได้แก่ บจก.ออยล์เสิร์ช (29 เปอร์เซ็นต์) รัฐบาลปาปัวนิวกินี (16.6 เปอร์เซ็นต์) บริษัทพลังงานซานโตส ของออสเตรเลีย (13.5 เปอร์เซ็นต์) บริษัทนิปปอนออยล์ของญี่ปุ่น (4.7 เปอร์เซ็นต์) และบรรดาเจ้าของที่ดินในท้องถิ่น (2.8 เปอร์เซ็นต์)