เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้ “มาลาลา ยูซาฟไซ” นักเคลื่อนไหวทางการศึกษาวัย 16 ปีที่ถูกกลุ่มก่อการร้ายตอลิบานลอบสังหารได้ให้ความเห็นกับสื่อสหรัฐฯ MSNBC เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.) ว่า กลุ่มนักเรียนหญิงชาวไนจีเรียร่วม 200 กว่าคนที่ถูกลักพาตัวจากโรงเรียนนั้นเป็นเหมือนพี่น้องของเธอ และส่งข้อความไปถึงเหลื่อลักพาตัวว่า ไม่ควรสิ้นหวังเพราะมีคนทั่วโลกคอยเอาใจช่วย ด้านตำรวจไนจีเรียตั้งรางวัล 50 ล้านไนรา (177,000 ปอนด์) ให้แก่ผู้ที่สามารถให้เบาะแสคดีลักพาตัวนี้ และล่าสุดสุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯ มิเชล โอบามา เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงได้ร่วมทวีตข้อความ “#Bring Back Our Girls” สนับสนุนการรณรงค์ในหลายเมืองทั่วโลกที่เรียกร้องให้มีการนำเหล่านักเรียนหญิงไนจีเรียกลับบ้าน
“นักเรียนหญิงพวกนี้เป็นเหมือนพี่น้องของดิฉัน” มาลาลา ยูซาฟไซ นักเคลื่อนไหวทางการศึกษาชาวปากีสถานวัย 16 ปี ให้สัมภาษณ์กับสื่อสหรัฐฯ MSNBC เมื่อวานนี้ (7) ที่เบอร์มิงแฮม อังกฤษ ที่เธอได้อาศัยอยู่ที่นั่นตั้งแต่ยูซาฟไซตกเป็นเป้าลอบสังหารจากกลุ่มก่อการร้ายตอลิบานในปี 2012
“ดิฉันรู้สึกเศร้า แต่อยากจะบอกกับเธอเหล่านั้นว่าอย่าสิ้นหวัง เพราะพวกเราอยู่เป็นกำลังใจให้ทุกคน” ยูซาฟไซส่งข้อความผ่านไปยังเหยื่อลักพาตัว
ยูซาฟไซนั้นเป็นหนึ่งในตัวเก็งรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และเธอยังได้รับเชิญไปเยือนทำเนียบขาว ได้ร่วมเรียกร้องให้คนทั้งโลกลุกขึ้นพูดเรียกร้องต่อกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัสรุนแรงโบโกฮารัมที่ได้ประกาศความรับผิดชอบในการลักพาตัวกลุ่มนักเรียนราว 276 คนไปจากโรงเรียน และขู่ที่จะขายนักเรียนหญิงเหล่านั้น “พวกเราต้องร่วมมือกันและลุกขึ้นเผชิญหน้ากับกลุ่มก่อการร้าย” ยูซาฟไซกล่าวต่อ
ถึงแม้สถานการณ์ที่กลุ่มนักเรียนหญิงไนจีเรียถูกลักพาจากโรงเรียนนั้นต่างจากที่ยูซาฟไซถูกซุ่มโจมตีในระหว่างทางในขณะที่เธออยู่ในรถโรงเรียนที่สวาต ปากีสถาน แต่ยูซาฟไซกลับเห็นความคล้ายคลึงในเหตุการณ์ทั้งสอง “พวกเรารู้สึกเจ็บปวดในสวาต เด็กผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้ไปโรงเรียน หรือไปตลาด และเป็นสิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นในไนจีเรีย” ยูซาฟไซให้ความเห็น และเสริมว่า “เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย เป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก เหมือนกับการก่อการร้ายอีกครั้งหนึ่ง”
ทั้งนี้ ยูซาฟไซที่มีอายุเพียง 11 ปีได้ระบายความโกรธต่อเครือข่ายก่อการร้ายตอลิบานผ่านหัวข้อสุนทรพจน์ “กลุ่มตอลิบานกล้าดีอย่างไรที่ขโมยสิทธิขั้นพื้นฐานในการเรียนของข้าพเจ้าไป”
“มันเป็นหน้าที่ของดิฉันที่ต้องพูดถึงแม้จะไม่มีใครสนใจฟังก็ตาม ดิฉันจะพูดจนกว่าจะมีคนเริ่มลงมือทำ” ยูซาฟไซกล่าวต่อ และเสริมว่า “ดิฉันเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตของตนเองว่า หากคุณพูดความจริง และหากคุณพูดจากความเป็นธรรม ดังนั้นจะไม่มีใครเอาชนะคุณได้ และนี่เป็นสิ่งที่ดิฉันเชื่อ”
การประท้วงต่อต้านการลักพาตัวถือเป็นความหวังเดียวที่จะป้องกันได้ ยูซาฟไซให้ความเห็น และกล่าวต่อว่า และหากต้องการปกป้องเด็กหญิงคนอื่นๆ ด้วยทุกคนต้องลุกขึ้นต่อต้าน
ยูซาฟไซดำเนินงานมูลนิธิที่ตั้งในนามชื่อของเธอ ซึ่งเธอกล่าวว่าโครงการต่อไปของมูลนิธิมีเป้าหมายเพื่อจะให้การศึกษาที่ปลอดภัยสำหรับเด็กผู้หญิงในไนจีเรีย “ดิฉันคิดว่าโลกใบนี้แคบ” ยูซาฟไซกล่าว
และในวันเดียวกัน (7) สุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯ มิเชล โอบามา เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงคนล่าสุดได้ร่วมทวีตข้อความ “#Bring Back Our Girls” สนับสนุนการรณรงค์ในหลายเมืองทั่วโลก เช่น กรุงอาบูจา กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ลอสแองเจลิส กรุงดับลิน และกรุงลอนดอนที่เรียกร้องให้มีการนำเหล่านักเรียนหญิงไนจีเรียกลับบ้าน ที่ผู้ประท้วงได้ต่างสวมเสื้อยืดสีแดง เรียกร้องให้กลุ่มกบฏไนจีเรีย โบโกฮารัม ปล่อยตัวเหยื่อลักพาตัวกลุ่มนั้น
ทั้งนี้ #Bring Back Our Girls ที่เริ่มมาจากไนจีเรียเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ถูกทวีตจำนวนมากกว่า 1 ล้านครั้ง โดยในวันที่ 23 เมษายน 2014 เป็นครั้งแรกที่มีการทวีตข้อความ #Bring Back Our Girls ในพิธีเปิดของยูเนสโกเพื่อยกย่องเมืองพอร์ต ฮาร์คอร์ต (Port Harcourt) ในไนจีเรียเป็นเมืองหลวงหนังสือของโลก และอิบราฮิม อับดุลเลาะห์ (Ibrahim M Abdullah)นักกฎหมายชาวไนจีเรียได้ทวีตข้อเรียกร้องในสุนทรพจน์ของรองประธานเวิล์ดแบงก์แห่งแอฟริกา Dr Oby Ezekwesili ที่กล่าวว่า “นำตัวเด็กผู้หญิงกลับบ้าน”
มิเชล โอบามาได้กล่าวผ่านข้อความที่เธอทวีตว่า “คำภาวนาของพวกเราอยู่กับกลุ่มนักเรียนชาวไนจีเรียที่ถูกลักพาและครอบครัวของเธอเหล่านั้น” และนางโอบามาได้ส่งพร้อมรูปภาพของเธอในทำเนียบขาวถือป้ายข้อความ “#Bring Back Our Girls”
และในวันอังคาร (6) มีกลุ่มผู้ประท้วงราว 100 คนทั้งชายและหญิงต่างสวมเสื้อสีแดงรวมตัวอยู่ด้านนอกของหน่วยงานความมั่นคงไนจีเรียในกรุงอาบูจาเพื่อเรียกร้องให้ทางเจ้าหน้าที่ออกติดตามหาเด็กหญิงเหล่านั้นที่ทางกลุ่มโบโกฮารัมอ้างว่าจะนำตัวพวกเธอไปขาย และการประท้วงได้ดำเนินต่อไปในวันพุธ (7)
ทางด้านตำรวจไนจีเรียได้ประกาศเมื่อวานนี้ (7) เสนอเงินรางวัลมูลค่าสูงถึง 50 ล้านไนรา (177,000 ปอนด์) ให้แก่ผู้ที่สามารถให้เบาะแสกลุ่มนักเรียนทั้ง 276คนที่ถูกลักพาตัวโดยมุสลิมหัวรุนแรงโบโกฮารัม ที่มีรายงานเปิดเผยออกมาว่า แค่ภายในต้นสัปดาห์นี้กลุ่มก่อการร้ายโบโกฮารัมได้สังหารคนไปแล้วอย่างน้อย 310 คนในบริเวณที่ห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรีย
จากแรงกดดันภายในไนจีเรียและจากทั่วโลกต่อคดีสะเทือนขวัญนี้ ผู้บัญชาการระดับสูงของตำรวจไนจีเรียได้กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “ใครก็ตามที่ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่นำไปสู่สถานที่กักตัวของกลุ่มนักเรียนหญืงและสามารถช่วยเหลือพวกเธอออกมาได้สำเร็จ มีสิทธิอันชอบธรรมในการรับรางวัลนำจับนี้” และยังเสริมต่อไปว่า “สำหรับข้อมูลของผู้ให้เบาะแส ทางการไนจีเรียจะปิดเป็นความลับสุดยอด”
ในวันจันทร์ (5) กลุ่มโบโกฮารามได้สังหารชาวไนจีเรียจำนวนหนึ่งในตลาดที่แกมโบรู งาลา (Gamboru Ngala)ที่ติดพรมแดนแคมมารูน ซึ่งเจ้าหน้าที่ไนจีเรียระดับสูงให้สัมภาษณ์กับเอพีว่า ร้านถูกเผาและทำลายในความรุนแรงที่เกิดขึ้นยาวนานถึง 12 ชม. และพบว่ามียอดผู้เสียชีวิตร่วมร้อยกว่าคน
ข่าวปฎิบัติการล่าสุดของโบโกฮารัมและรางวัลนำจับเกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลอังกฤษประกาศจะส่งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญต่อต้านก่อการร้ายไปยังไนจีเรียเพื่อช่วยเหลือภารกิจตามหาเหล่าเหยื่อลักพาตัว โดยผู้เชี่ยวชาญอังกฤษจะทำงานร่วมกับทหารสหรัฐฯ และ FBI ที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา พร้อมกับให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิกต่อเจ้าหน้าที่ไนจีเรีย
โดยทางวอชิงตันได้เสนอส่งกองกำลังไปช่วยไนจีเรีย แต่อังกฤษได้เตรียมพร้อมหน่วยรบพิเศษและการข่าวพร้อมกับเครื่องบินอังกฤษ