ซีเอ็นเอ็น - ลูกเรือหญิงคนหนึ่งกำลังได้รับการเชิดชูเยี่ยงวีรสตรีในเกาหลีใต้ หลังให้ความสำคัญกับชีวิตผู้โดยสารมากกว่าตนเอง จนกระทั่งต้องกลายเป็นหนึ่งในเหยื่อโศกนาฏกรรมเรือเฟอร์รีเกาหลีใต้อับปาง โดยผู้อยู่ในเหตการณ์เล่าว่าเธอมีสติมากพอที่จะตรวจดูว่าทุกคนใส่เสื้อชูชีพหรือไม่ และอยู่ช่วยคนอื่นๆ จนถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนตัวเองจะจมไปกับกระแสน้ำ
ในขณะที่ลูกเรือส่วนใหญ่ถูกด่าทออย่างรุนแรงที่ต่อการละทิ้งผู้โดยสารหลบหนีออกจากเรือ แต่ ปาร์ก จียอง พนักงานของเรือกลับได้รับการยกย่องจากความพยายามช่วยชีวิตผู้โดยสารเท่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะทำได้
ปาร์ก จียอง ในวัย 22 ปี ะเพิ่งทำงานบนเรือได้เพียงแค่ 6 เดือน ปฏิเสธสวมแจ็กเกตเนื่องจากเห็นว่ามันไม่เพียงพอต่อผู้โดยสาร ไม่ยอมกระโดดลงจากเรือเพื่อเอาตัวรอด และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นในความพยายามช่วยเหลือผู้โดยสารให้ได้มากที่สุด
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่ากับสื่อมวลชนเกาหลีใต้ว่า พอเสื้อชูชีพหมด เธอก็วิ่งขึ้นไปบนชั้นอื่นๆ หาแจ็กเกตมาให้เพียงพอต่อจำนวนผู้โดยสาร และพอถูกถามว่าทำไม่ถึงไม่สวมเสื้อชูชีพ ปาร์กตอบว่าลูกเรือควรได้รับมันเป็นคนสุดท้ายและเธอจำเป็นต้องช่วยเหลือคนอื่นๆ ก่อน
รายงานข่าวระบุว่า จียองมีสติมากพอที่จะตรวจดูว่าทุกคนใส่เสื้อชูชีพหรือไม่ และช่วยแจกเสื้อชูชีพให้กับทุกคน รวมถึงช่วยผลักดันคนอื่นๆ ออกจากเรือที่กำลังจะจมลง แม้ว่าน้ำทะเลจะทะลักเข้ามาจนสูงถึงอกแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ยอมออกไปจากเรือ จนตัวเองจมไปกับกระแสน้ำที่ไหลเข้าเรืออย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ปาร์กเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตจำนวน 157 ราย ขณะที่ยังมีผู้สูญหายอีก 145 คน และเวลานี้ศพของเธอตั้งประกอบพิธีอยู่ที่บ้านพักในเมืองอินชอน
ชายแปลกหน้าคนหนึ่งซึ่งมีผ้าพันแผลบริเวณศีรษะเดินเข้ามายังห้องจัดตั้งศพของเธอ พอครอบครัวของปาร์กถามว่าเป็นใคร ชายคนดังกล่าวตอบว่าเขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บจากโศกนาฏกรรมเรือเฟอร์รี และเขาเป็นหนี้บุญคุณสาวน้อยรายนี้ที่พันแผลให้เขาและช่วยเหลือเขาจนรอดพ้นจากระดับน้ำที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ภายในตัวเรือ “เธอมีความรับผิดชอบและใจดีเหลือเกิน” ชอย ซุน ด็อก คุณยายของปาร์กกล่าวด้วยน้ำตา
ดอกเบญจมาศ และดอกลิลลี่สีขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์ หลั่งไหลมาจากคนแปลกหน้า ปกคลุมทางเดินที่มุ่งไปสู่ห้องตั้งศพของหญิงสาว โดยภายในช่อดอกไม้เหล่านั้นมีข้อความอาลัยต่างๆ นานา อาทิ “เราจะไม่มีวันลืม จิตวิญญาณอันสูงส่งของคุณ" และ "เราจจะจดจำความเสียสละของคุณไปตลอดกาล คุณคือวีรสตรี” ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องทางโลกออนไลน์ให้รัฐบาลมอบรางวัล Good Samaritan (ชอบช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก) แก่เธอ
ญาติๆ ของเธอบอกว่า ปาร์กยังอยากเรียนหนังสือต่อ แต่จำเป็นต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว หลังบิดาของเธอจากไปเมื่อ 2 ปีก่อน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจดร็อปเรียนและเข้าสมัครงานในบริษัทเรือเฟอร์รีเมื่อปี 2012 และหลังพิสูจน์ความสามารถจนเป็นที่ยอมรับ เธอก็ถูกยกระดับให้ไปปฏิบัติหน้าที่บนเรือที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือเรือเซวอล เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว
อุบัติเหตุเรือเฟอร์รีเซวอลอับปางนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอลูกเรือหลายคน ในนั้นรวมไปถึงกัปตันที่หนีเอาชีวิตรอด และเวลานี้เขาก็ถูกดำเนินคดีในฐานความผิดหลายกระทงต่อบทบาทของเขาในโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
“มันไม่ยุติธรรมเลย เราต้องมาเห็น จียองจบชีวิตในขณะที่กัปตันหนีเอาตัวรอด” น้าของเธอบอก “จียองมีความรับผิดชอบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่กัปตันกลับหลบหนี”
อนึ่ง ลูกเรือของเรือเซวอลมีทั้งหมด 29 คน โดย 22 คนมีชีวิตรอด อย่างไรก็ตาม ในจำนวนนั้นมีอยู่ 11 คนรวมถึงกัปตัน ที่ตอนนี้ถูกจับกุมหรือควบคุมตัวเพื่อดำเนินการสอบสวน ทั้งนี้เรือลำดังกล่าวมีผู้โดยสารทั้งหมด 476 คน โดย 2 ใน 3 เป็นนักเรียนของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งที่กำลังเดินทางไปทัศนศึกษานอกสถานที่บนเกาะเชจู
นอกเหนือจาก ปาร์ก จียอง แล้ว ยังมีผู้โดยสารอีกอย่างน้อยๆ 3 คนที่ได้รับการยกย่องบนโลกออนไลน์ในฐานะฮีโร่ของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย จอง ชาวุง นักเรียนอายุ 17 ปี เขาได้สละเสื้อชูชีพให้เพื่อนคนหนึ่งที่กำลังจะจมน้ำ และยังเข้าไปช่วยเพื่อนนักเรียนอีกหลายคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เสียชีวิต เนื่องจากทนความหนาวเย็นของน้ำไม่ไหว
ส่วนอีกคนคือ คิม ฮอง กยอง อายุ 59 ปี หนึ่งในผู้โดยสาร ที่ใช้ผ้าม่านในเรือทำเป็นเชือกช่วยให้คนที่กำลังจะจมน้ำรอดชีวิตมาได้กว่า 20 ราย ส่วนตัวเขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากชาวประมง และแม้ว่าตัวเขาจะปลอดภัยแล้ว แต่เขาก็ยังอาสาจะช่วยตามหาผู้สูญหายคนอื่นๆ ต่อด้วย
ขณะที่คนสุดท้ายก็คือ ปาร์ก ยอง ซุป อายุ 56 ปี เขาเป็นชาวประมงที่ตัดสินใจนำเรือเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยสามารถดึงตัวผู้ประสบภัยขึ้นมาจากน้ำได้ 27 คน และพาพวกเขาไปสู่ที่ปลอดภัย ซึ่งเจ้าตัวบอกด้วยว่าเขาเคยประสบเหตุลักษณะนี้และรู้ดีว่ามันน่ากลัวขนาดไหนเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเสียงสัญญาณขอความช่วยเหลือจึงไม่ลังเลที่จะนำเรือตรงเข้าไปช่วยผู้ประสบภัยเลย