เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประธานาธิบดี มอนเซฟ มาร์ซูกี แห่งตูนิเซีย สร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ในวันเสาร์ (19) หลังออกมาประกาศ “ลดเงินเดือนตัวเอง” ลงถึง 2 ใน 3 ส่วน หลังจากตูนิเซียประสบวิกฤตด้านการเงินการคลังครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ชี้ “ชนชั้นนำทางการเมือง” ไม่ควรเสวยสุขและเอาแต่กอบโกย ตราบใดที่ประชาชนยังคงทุกข์ยาก
รายงานข่าวระบุว่า ประธานาธิบดี มอนเซฟ มาร์ซูกี ผู้นำวัย 68 ปี ของตูนิเซีย ซึ่งก้าวขึ้นครองอำนาจเมื่อเดือนธันวาคมปี 2011 ประกาศระหว่างเข้าร่วมพิธีครบ 58 ปีการสถาปนากองกำลังความมั่นคงภายในของตูนิเซีย โดยระบุ เขาจะขอลดเงินเดือนของตัวเองลง 2 ใน 3 หรือคิดเป็น “เกือบ 67 เปอร์เซ็นต์” ของเงินเดือนปกติ เพื่อช่วยแก้ปัญหาด้านงบประมาณของชาติ
“ข้าพเจ้าเชื่อว่า ตนเองไม่สมควรรับเงินเดือนเต็มจำนวน ตราบใดที่ประเทศของเรายังไม่หลุดพ้นจากวิกฤตงบประมาณ ข้าพเจ้ามิอาจเสวยสุขและอ้าแขนรับผลประโยชน์ใดๆ ตราบใดที่ประชาชนยังคงทุกข์ยาก ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชนชั้นนำทางการเมืองในตูนิเซีย จะยอมสละความสุขสบายของพวกเขาลงบ้าง ในยามที่บ้านเมืองประสบความยากลำบากเช่นนี้” ประธานาธิบดีมาร์ซูกี กล่าว
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของประธานาธิบดีมาร์ซูกีซึ่งสำเร็จการศึกษาด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยสตราสบูร์กในฝรั่งเศสมีขึ้นขณะที่ตูนิเซียกำลังประสบปัญหาขาดดุลงบประมาณในระดับที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี เพราะรายได้จากการส่งออกที่ลดฮวบ หลังจากที่หลายประเทศในสหภาพยุโรป (อียู) ที่เป็นตลาดการค้าใหญ่ที่สุดของตูนิเซีย มีอันต้องประสบกับวิกฤตหนี้สินและภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
โดยข้อมูลของรัฐบาลตูนิเซียระบุว่า ตูนิเซียมียอดการส่งออกสินค้าไปยังอียูสูงถึง 75 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดของประเทศ และมีการนำเข้าสินค้าจากอียูสูงถึง 72.5 เปอร์เซ็นต์
นอกเหนือจากรายได้จากการส่งออกที่ลดลงแล้ว วิกฤตเรื้อรังด้านงบประมาณของตูนิเซีย ยังมีสาเหตุมาจากการทุจริตของนักการเมืองและระบบพวกพ้องของชนชั้นนำในประเทศ ที่ผันงบประมาณแผ่นดินไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในตูนิเซียหลังจากที่ประชาชนลุกฮือโค่นอำนาจของอดีตผู้นำเผด็จการ ซิน เอล อบิดีน เบน อาลี เมื่อเดือนมกราคมปี 2011