xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยเหตุการณ์สังหารโหดกลางอากาศที่เคยเกิดขึ้นในเอเชีย(ตอนจบ)

เผยแพร่:   โดย: จอห์น แมคเบธ

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Asia's long history of carnage in the air
By John McBeth
12/03/2014

การค้นหาเครื่องบินโดยสารในเที่ยวบิน 370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่สูญหายไป กำลังกลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์พอๆ กับการหายลับไปของเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ลำนี้เอง ตลอดจนประดาทฤษฎีที่ถูกทึกทักสันนิษฐานกันเกี่ยวกับชะตากรรมของมัน สมมุติว่าถ้าหากเครื่องบินลำนี้หายไปเพราะถูกวางระเบิดแล้ว มันก็จะกลายเป็นกรณีล่าสุดของเหตุการณ์สังหารโหดกลางอากาศหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งบังเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของคนร้ายหลายหลาก ตั้งแต่เหล่าสามีจอมวางแผนไปจนถึงพวกสายลับของเกาหลีเหนือ

*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนจบ*

(ต่อจากตอนแรก)

สำหรับเหตุหายนะจากการก่อวินาศกรรมทางอากาศครั้งที่สร้างความเสียหายอย่างเลวร้ายที่สุดในเอเชียนั้น มีด้วยกัน 2 ครั้ง คือ กรณีการวางระเบิดเครื่องบินคอนแวร์ 880 (Convair 880) ของสายการบินคาเธย์แปซิฟิก ที่บึ้มขึ้นมาขณะบินอยู่เหนือที่ราบสูงภาคกลางของเวียดนามในเดือนมิถุนายน 1972 และกรณีการตกของโบอิ้ง 707 ของสายการบินโคเรียนแอร์ ที่อ่าวเมาะตะมะ ในพม่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1987 โดยทั้ง 2 กรณีนี้มีผู้ถูกสังหารไปรวม 196 ชีวิต

ระหว่างกรณีเครื่องบินโดยสารคอนแวร์ 880 ของคาเธย์แปซิฟิก กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับเที่ยวบิน370 ของมาเลเซียแอร์ไลน์ในขณะนี้ มีสิ่งที่คล้ายคลึงพอจะเปรียบเทียบกันได้อย่างชวนให้ขนลุกบางอย่างบางประการ ทั้งนี้ เที่ยวบิน700Z ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือรวม 81 คนนี้ ทะยานขึ้นจากกรุงเทพฯโดยมุ่งหน้าสู่ฮ่องกง แต่ขณะที่บินเกือบจะไปถึงชายฝั่งของเวียดนามอยู่แล้ว ก็ตกลงโหม่งโลกที่บริเวณใกล้ๆ เมืองเปลกู (Pleiku) ในเขตที่ราบสูงภาคกลาง

สถานที่เครื่องบินลำนี้ตกในเวลานั้นคือพื้นที่สนามรบที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ เวอร์นอน แคลนซีย์ (Vernon Clancey) และ อีริก นิวตัน (Eric Newton) 2 เจ้าหน้าที่สอบสวนเครื่องบินตกชาวอังกฤษ ก็สามารถมองเห็นรูโหว่ในบริเวณตอนกลางของลำตัวเครื่องบิน รวมทั้งหลักฐานอันชัดเจนประการอื่นๆ ซึ่งบ่งบอกให้ทราบว่ามีระเบิดตูมขึ้นมาในห้องโดยสาร ในตอนที่เครื่องบินกำลังอยู่ในระดับความสูงเพื่อการเดินทาง (cruising altitude) ที่ 29,000 ฟุต

พวกเขาชี้ว่า แรงระเบิดคงทำให้ความดันอากาศลดลงอย่างมหาศาล และทำให้สายเคเบิลควบคุมที่วางไว้จากห้องนักบินถึงส่วนหางเครื่องบิน เกิดการม้วนงอเข้าหากัน เครื่องบินสูญเสียการทรงตัวและเริ่มที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ห้องนักบินและส่วนหางแยกออกมาจากลำตัวส่วนกลาง ขณะตกลงสู่ป่าทึบเบื้องล่าง

5 วันก่อนหน้านั้น แคลนซีย์ กับ นิวตัน ก็เพิ่งสร้างผลงานการสอบสวนอุบัติภัยเครื่องบินซึ่งถือเป็นชิ้นบุกเบิก โดยที่พวกเขาสามารถวินิจฉัยจากเบาะเปียกโชกชุ่มน้ำเพียงชิ้นเดียวซึ่งลอยอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนว่า สาเหตุที่ทำให้เครื่องบินโดยสารไอพ่นรุ่น “โคเมต” (Comet) ของสายการบินบริติชยูโรเปียนแอร์เวย์ (British European Airways) ตกลงสู่ทะลนอกเกาะโรดส์ (Isle of Rhodes) ประเทศกรีซ ทำให้ผู้อยู่บนเครื่องเสียชีวิต 66 คน ก็คือมันถูกวางระเบิด

บุคคลทั้งสองชื่นชอบมากที่จะพูดว่า พวกเบาะและศพผู้เสียชีวิต คือแหล่งในอุดมคติทีเดียวสำหรับการตรวจตราเก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ โดยที่ในกรณีของเครื่องบินโคเมตนี้ พวกเขาพบเศษเล็กๆ ของโลหะฝังอยู่ในเบาะ ซึ่งปกติแล้วไม่ควรพบในเครื่องบินที่ขณะนั้นกำลังเดินทางด้วยความเร็วในอัตรา 10,000 ฟุตต่อวินาที มีเพียงระเบิดเท่านั้นที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้ได้

หลักฐานอย่างเดียวกันยังถูกพบในซากเครื่องบินโดยสารของยูโกสลาเวีย ซึ่งตกโหม่งโลกตรงบริเวณไหล่เขาที่ปกคลุมด้วยต้นไม้แน่นหนา ในพื้นที่เทือกเขาทางตอนเหนือของเชโกสโลวะเกียเมื่อปี 1972 ผู้รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์เพียงคนเดียว เป็นพนักงานแอร์โฮสเตส ได้รับบาดเจ็บแค่รอยขีดข่วนตามร่างกายและขาหักทั้งสองข้าง หลังจากที่ตกลงจากฟากฟ้าความสูง 29,000 ฟุต โดยที่อยู่ในส่วนหางของเครื่องบินลำนั้น

จากรูโหว่หลายๆ รู และสารเคมีที่ยังตกค้างอยู่ตามผนังและผิวด้านบนของบริเวณพื้นที่ใช้เก็บกระเป๋าเดินทาง ตลอดจนจากประสบการณ์ของเขาเองในการสืบสวนสอบสวนคดีวินาศกรรมเครื่องบินมาแล้ว 15 คดี แคลนซีย์สามารถสรุปได้ว่า ระเบิดในกระเป๋าเดินทางลูกนี้บรรจุวัตถุระเบิดไว้ในปริมาณ 5 ปอนด์

ย้อนกลับมาในกรณีเครื่องบินคอนแวร์ 880 ของคาเธย์แปซิฟิก มือระเบิดดูเหมือนจะคำนวณจังหวะเวลาผิดพลาด ถ้าหากเขาคำนวณได้อย่างถูกต้องแล้ว เครื่องบินก็จะลับหายไปในขณะออกจากชายฝั่งเวียดนามและบินอยู่เหนือทะเลจีนใต้ ซึ่งจะสร้างความยากลำบากมากในการกู้ขึ้นมา ทำนองเดียวกับที่เกิดขึ้นในตอนกู้ซากเครื่องบินโคเมต ซึ่งท้าทายความพยายามทั้งหลายทั้งปวงของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการนำเอามันขึ้นมาจากจุดที่จมอยู่ใต้น้ำ 6,000 ฟุต

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ถัดจากนั้น มีความสงสัยกันมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับ ร.ต.ท.สมชาย ไชยสุต (Somchai Chaiyasut) หลังจากที่พบว่าระเบิดถูกวางเอาไว้ใต้ที่นั่งซึ่งอยู่ติดกันของ นางสมหวัง พรหมพิน (Somwang Prompin) ภรรยาวัย 20 ปีที่มิได้จดทะเบียนสมรสกันของเขา และ ด.ญ.สนธยา (Sonthoya) บุตรสาวอายุ 7 ขวบของเขา โดยที่ทั้งสองคนกำลังเดินทางไปช้อปปิ้งที่ฮ่องกง

ร่างของ ด.ญ.สนธยานั้นไม่ได้ถูกพบเห็นกันอีกเลย คณะเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนเชื่อว่าที่นั่งซึ่งอยู่ริมหน้าต่างของเธอ และเศษเสียหายของเครื่องบินชิ้นอื่นๆ ถูกลมดูดออกไปจากรูโหว่บนตัวเครื่องบินที่เกิดขึ้นเมื่อระเบิดทำงาน ตลอดจนแรงลมดูดยังทำให้สิ่งของต่างๆ บนเครื่องบินกระแทกใส่บริเวณด้านข้างของเครื่องบิน แล้วมีบางชิ้นทำให้แพนหางรักษาระดับแนวราบและแนวดิ่ง (horizontal and vertical stabilizers) ได้รับความเสียหาย ซึ่งมีส่วนทำให้เครื่องบินสูญเสียการควบคุม

หลายๆ สัปดาห์หลังจากนั้น มีหลักฐานใหม่ๆ ปรากฏออกมาอีก เป็นต้นว่า ร.ต.ท.สมชาย ได้ซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่เหยื่อเคราะห์ร้ายทั้งสองคนเป็นจำนวนเงิน 5.5 ล้านบาท นอกจากนั้นเขายังได้ซื้อระเบิดพลาสติกแบบ C4 จากพวกเพื่อนตำรวจด้วยกัน และได้ดำเนินการเจาะรูในกล่องใส่เครื่องสำอางสีดำ คล้ายๆ กับที่นางสมหวังนำขึ้นเครื่องบิน

ก่อนหน้านั้น ระหว่างที่ขึ้นไปชมเครื่องบินโดยสารแบบ ดีซี 8 ของการบินไทย โดยที่มีเจ้าหน้าที่พาชมด้วยนั้น เขาได้ซักถามเจ้าหน้าที่สายการบินว่าส่วนที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของเครื่องบินอยู่ตรงไหน และสิ่งที่ทำให้บังเกิดความสงสัยกันมากกว่านั้นอีก ก็คือ การที่เขาได้ขึ้นไปบนเครื่องบินในเที่ยวบินชะตาขาดลำนั้นก่อนถึงเวลาออก และทำเรื่องจู้จี้วุ่นวายเพื่อให้เกิดความแน่ใจว่า ภรรยาและบุตรสาวของเขาได้ที่นั่งตรงแถวๆ ปีกเครื่องบิน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีพฤติกรรมที่ดูพิกลๆ ของเขาอย่างอื่นอีก เมื่อศพของผู้เสียชีวิตถูกนำมาถึงกรุงเทพฯแล้ว เขาได้ขออนุญาตหลายต่อหลายครั้งเพื่อถ่ายภาพศพของนางสมหวัง โดยอธิบายให้เหตุผลว่าบิดามารดาของเขายังไม่เคยพบเธอเลย ถึงแม้ศพของเธออยู่ในสภาพที่จำกันไม่ได้แล้ว เนื่องจากเธอได้รับบาดเจ็บอันเลวร้ายที่สุดของการเสียชีวิตทั้งหลาย

อย่างไรก็ตาม ศาลไทยมีความเห็นว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอ และตัดสินปล่อยตัวเขาพ้นข้อกล่าวหาก่อวินาศกรรมไปในเดือนพฤษภาคม 1974 โดยที่ผู้คนจำนวนมากเชื่อในอิทธิพลของ จอมพลประภาส จารุเสถียร ผู้ซึ่งกล่าวอย่างมีอารมณ์ความรู้สึก ภายหลังเกิดเหตุระเบิดไม่นานนักว่า พ่อคนไทยที่รักลูกย่อมไม่มีทางที่จะฆ่าลูกสาวตัวเองเพื่อหวังเงินประกัน

ร.ต.ท.สมชาย ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเรียกร้องเงินสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันชีวิต และก็เป็นฝ่ายชนะได้รับเงินเหล่านี้ไป แต่เขาก็ไม่ได้มีชีวิตยืนยาวที่จะได้ใช้จ่ายอะไรนัก โดยในปี 1983 หรือ 2 ปีหลังจากเขาลาออกจากราชการ เมื่อได้รับการเลื่อนยศขึ้นเป็น พ.ต.อ.แล้ว เขาก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ ขณะมีอายุ 43 ปี

หลังจากนั้นไปอีก 15 ปี ก็เกิดกรณีโบอิ้ง 707 ของสายการบินโคเรียนแอร์ ในเที่ยวบินจากกรุงเทพฯไปโซล ที่มีผู้โดยสารและลูกเรืออยู่บนเครื่อง 115 คน ได้หายลับจากจอเรดาร์ขณะบินเหนืออ่าวเมาะตะมะ ของพม่า ทั้งนี้รัฐบาลเกาหลีใต้ดูเหมือนจะทราบโดยสัญชาตญาณแทบจะทันทีว่า มันเป็นฝีมือของพวกนักก่อวินาศกรรมเกาหลีเหนือ

ก่อนหน้านั้นเมื่อเดือนตุลาคม 1983 พวกสายลับเกาหลีเหนือได้จุดชนวนระเบิดที่อนุสาวรีย์บรรจุศพแห่งหนึ่งในกรุงย่างกุ้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 21 คน ในจำนวนนี้เป็นรัฐมนตรีว่าการของเกาหลีใต้ 3 คน ทว่ากลับพลาดเป้าหมายสำคัญที่สุดที่ตั้งใจไว้ นั่นคือ ประธานาธิบดีชุน ดูฮวาน (Chun Doo-hwan) ผู้ซึ่งจะต้องมาทำพิธีวางพวงมาลาไว้อาลัย ทว่ายังเดินทางมาไม่ถึง

เศษซากบางส่วนของเครื่องบินโดยสารโคเรียนแอร์ เที่ยวบิน 858 ชะตาขาดลำนี้ ถูกคลื่นซัดสาดขึ้นมาตามชายหาดของไทย ทว่าไม่มีการพบศพใดๆ และยังไม่เคยค้นพบกล่องดำไม่ว่าจะเป็นกล่องบันทึกข้อมูลการบิน หรือกล่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ซึ่งถึงอย่างไรก็คงแทบไม่ช่วยไขความกระจ่างให้แก่วินาศภัยคราวนี้อยู่ดี

มือระเบิดผู้ก่อเหตุวินาศกรรมเครื่องบินคราวนี้เป็นสายลับเกาหลีเหนือ 2 คน ซึ่งได้แอบวางระเบิดพลาสติกแบบ C4 และระเบิดที่เป็นของเหลวแบบ PLX เอาไว้บนช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะในห้องโดยสาร ก่อนที่จะลงจากโบอิ้ง 707 ลำนี้ไปตอนที่เครื่องจอดแวะพักที่อาบูดาบี อย่างไรก็ตาม พวกเขาถูกติดตามไล่ล่าอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไปทันกันที่บาห์เรน

สายลับชายที่อาวุโสกว่าได้ฆ่าตัวตายโดยใช้บุหรี่เคลือบยาพิษไซยาไนด์ ทว่าเพื่อนร่วมงานของเขา คือ คิม ฮยุน-ฮุย (Kim Hyun-hui) ถูกรวบตัวเอาไว้ก่อนที่เธอจะสามารถดำเนินรอยตาม โดยที่เธอกัดตำรวจจนเหวอะหวะ เมื่อเขาพยายามดึงเอาบุหรี่เคลือบไซยาไนด์ ออกจากปากของเธอ

เมื่อตอนที่พาตัวเธอบินกลับไปกรุงโซล เจ้าหน้าที่ต้องนำที่ถ่างปากทำด้วยไม้มาใส่ให้เธอ เพื่อป้องกันไม่ให้เธอกัดลิ้นตัวเอง ในเบื้องต้นนั้น คิม ถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิต ทว่าในเวลาต่อมาเธอได้รับการอภัยโทษหลังจากที่มีการพิจารณาว่าเธอถูกล้างสมองให้เข้ามีส่วนร่วมในการวางระเบิดคราวนี้ ซึ่งเธอระบุว่าเป็นคำสั่งจากตัวผู้นำ คิม จองอิล โดยตรง

พวกสายลับเกาหลีใต้นั้นได้เคยแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีความเชี่ยวชาญแค่ไหนในการทรมานประดานักเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ในคราวนี้พวกเขาพยายามใช้ไม้อ่อน โดยนำตัว คิม ขึ้นรถยนต์ขับไปรอบๆ กรุงโซล ไม่นานนักแรงต่อต้านของเธอก็แตกสลาย หลังจากตระหนักถึงความเป็นจริงแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับเกาหลีใต้นั้น ล้วนแต่เป็นคำโกหก

“ฉันสมควรที่จะถูกลงโทษประหารสำหรับสิ่งที่ฉันได้ทำลงไป แต่ฉันเชื่อว่าฉันได้รับการยกเว้นให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะฉันเป็นพยานเพียงคนเดียวในเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เป็นฝีมือของเกาหลีเหนือคราวนี้” เธอกล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้ว “ในฐานะที่เป็นพยานเพียงคนเดียว มันจึงเป็นชะตาชีวิตของฉันที่จะต้องให้การในสิ่งที่เป็นความจริง”

จอห์น แมคเบธ เป็นอดีตผู้สื่อข่าวของนิตยสารฟาร์อีสเทิร์นอีโคโนมิกรีวิว (Far Eastern Economic Review) ปัจจุบันเขาเป็นคอลัมนิสต์ให้แก่หนังสือพิมพ์สเตรทส์ไทมส์ของสิงคโปร์ โดยใช้จาการ์ตาเป็นฐาน
กำลังโหลดความคิดเห็น