เอเอฟพี – รัสเซียใช้สิทธิ์คัดค้านคำแถลงของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่สหรัฐฯ ร่างขึ้นวันนี้ (20) โดยคำแถลงดังกล่าวนั้นมีเนื้อความประณามรัฐบาลซีเรียที่ใช้ปฏิบัติการทหารโจมตีพื้นที่ในเมืองอะเลปโปหนักขึ้นเรื่อยๆ
ท่าทีของรัสเซียทำให้ความตึงเครียดทางการทูตทวีความรุนแรงมากขึ้น ก่อนจะถึงการประชุมสำคัญระหว่างรัสเซีย สหรัฐฯ และยูเอ็น ที่นครเจนีวาในวันนี้ (20) เพื่อหารือเรื่องการจัดเจรจาสันติภาพนานาชาติ ว่าด้วยกรณีซีเรีย
นักการทูตเผยว่า ทูตของรัสเซียได้ปฏิเสธไม่ให้มีการระบุถึงยุทธวิธีทางทหารของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ในคำแถลงดังกล่าว
หลังเผชิญอุปสรรคจากมอสโก สหรัฐฯ ได้ตัดสินใจถอนร่างคำแถลง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงทั้ง 15 ชาติ โดยโฆษกกล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ “ผิดหวังเป็นอย่างมาก” ที่ถูกรัสเซียขัดขวาง
สหรัฐฯ ต้องการให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นออกคำแถลงแสดงถึง “ความโกรธแค้นที่รัฐบาลซีเรียใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ โดยเฉพาะการใช้อาวุธหนักฆ่าประชาชนไม่เลือกหน้า เช่น ขีปนาวุธสกั๊ด และระเบิดถังน้ำมัน ที่ใช้ถล่มอะเลปโปในช่วงสัปดาห์นี้
องค์การแพทย์ไร้พรมแดนแจ้งว่า มีประชาชนอย่างน้อย 189 คนเสียชีวิต และเกือบ 900 คนบาดเจ็บในปฏิบัติการทิ้งระเบิดในเมืองอะเลปโป ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันอาทิตย์ (15)
คำแถลงที่สหรัฐฯ เสนอจะแสดงถึงความกังวลเรื่องการใช้ความรุนแรงที่เพิ่มสูงขึ้น และประณามการก่อเหตุรุนแรงของทุกฝ่าย”
แม้รัสเซียจะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำแถลงอย่างเปิดเผย แต่ก็ได้ออกมาต่อต้านอย่างเต็มกำลัง ไม่ให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นดำเนินการตอบโต้อัสซาด ในสงครามที่ยืดเยื้อมานานถึง 33 เดือน
ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติระบุว่า สงครามกลางเมืองในซีเรียได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 100,000 คน
เคอร์ติส คูเปอร์ รองโฆษกคณะผู้แทนสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติกล่าวว่า “เราผิดหวังมากที่มีผู้ขัดขวางคำแถลงของคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งจะแสดงออกว่าพวกเราโกรธเคืองที่ระบอบปกครองซีเรียใช้ยุทธวิธีป่าเถื่อนและไม่เลือกหน้ากับพลเมือง”
“ระเบิดน้ำมันเหล่านี้และวัตถุระเบิดต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายในแสดงให้เห็นชัดว่า ระบอบปกครองอัสซาดเป็นพวกป่าเถื่อนแค่ไหน และพร้อมที่จะทำร้าย หรือเข่นฆ่าพลเมืองของตนเองได้ถึงขั้นใด”
คูเปอร์ย้ำว่า “ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศทั้งในเมือง และรอบเมืองอะเลปโปยังดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ แน่นอนว่าอย่างน้อยที่สุด คณะมนตรีความมั่นคงควรมีโอกาสได้ประณามความโหดร้ายเช่นนี้”