เอเอฟพี - สหรัฐฯ ออกปากเตือนเกาหลีเหนือให้หลีกเลี่ยง “พฤติกรรมยั่วยุ” ภายหลังจากผู้นำ คิม จอง อึน ได้สั่งปลด และประหารชีวิตอาเขยของตนเอง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นความพยายามรวบอำนาจ และกวาดล้างผู้แข็งขืนอย่างไม่ไว้หน้า
วอชิงตัน มีแผนที่จะจัดประชุมกับพันธมิตรในเอเชียเพื่อหารือสถานการณ์ความมั่นคง หลังจาก จาง ซอง-แต๊ก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “ผู้นำเบอร์สอง” ของเกาหลีเหนือ ถูกสั่งประหารเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (12)
“แน่นอนว่าเรารู้สึกกังวล และขอเรียกร้องให้เกาหลีเหนือหลีกเลี่ยงการกระทำยั่วยุ เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพในภูมิภาค” มารี ฮาร์ฟ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลงวานนี้ (13)
ฮาร์ฟ ยังตำหนิการประหาร จาง ซอง-แต๊ก ว่าเป็น “การกระทำป่าเถื่อนอย่างไม่น่าเชื่อ” ซึ่งตอกย้ำถึงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่ตกต่ำในเกาหลีเหนือ แต่ปฏิเสธที่จะพูดถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของการประหาร
ท่าทีของสหรัฐฯ มีขึ้น ภายหลังจากที่ คิม ควาน-จิน รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ ประกาศจะเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังทางทหารเพื่อป้องกันการยั่วยุ เพราะคำสั่งประหาร จาง ซอง-แต๊ก นั้นบ่งบอกชัดเจนถึงความพยายามของผู้นำ คิม ที่จะรวบอำนาจเด็ดขาดไว้กับตนเอง
“กรณีนี้อาจมองได้ว่า เป็นการสร้างยุคแห่งความหวาดกลัว (reign of terror) โดยผู้นำ คิม จอง อึน ที่ต้องการสร้างฐานอำนาจของตนให้แข็งแกร่ง” คิม ระบุ
รัฐมนตรีกลาโหมโสมขาวยังแสดงความเป็นห่วงว่า การกระทำของ คิม จอง อึน อาจบั่นทอนความมั่นคงในภูมิภาค เพราะจะกระตุ้นให้ผู้นำกองทัพโสมแดงต้องแข่งขันกันแสดงความซื่อสัตย์ภักดีต่อผู้นำ
ขณะเดียวกัน สื่อเกาหลีเหนือก็พยายามสร้างความชอบธรรมต่อการประหาร จาง ซอง-แต๊ก โดยหนังสือพิมพ์โรดองซินมุนได้ตีพิมพ์ภาพผู้นำ คิม ในชุดเสื้อโค้ดหนาเดินทางไปเยี่ยมเยียนสถาบันตัดเย็บเครื่องแบบทหารเป็นภารกิจแรกหลังกำจัดอาเขยของตนไปพ้นทาง โดยมี โช รยอง-แฮ นายพลคนสนิท และนายทหารติดตามไปอีกหลายคน
การตรวจเยี่ยมโรงงานดังกล่าวเห็นได้ชัดว่า มีจุดประสงค์เพื่อแสดงถึงอำนาจเด็ดขาดของ คิม จอง อึน หลังจาก จาง ซึ่งถูกรัฐบาลเปียงยางประณามว่าเป็น “คนทรยศของทุกยุคสมัย” ถูกประหารไปเรียบร้อย
นักวิเคราะห์ระบุว่า จาง วัย 67 ปี เคยมีบทบาทสำคัญในการประคับประคองหลานชายซึ่งยังอ่อนประสบการณ์ด้านการปกครอง หลังจากผู้นำ คิม จอง อิล ถึงแก่อสัญกรรมอย่างกะทันหันเมื่อปลายปี 2011 ทว่า ระยะหลังๆ มานี้ อำนาจ และอิทธิพลของ จาง กลับลดลงไปมาก