เอเอฟพี – อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 7.0% ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งนับเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี และทำให้หลายฝ่ายเกรงว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจตัดสินใจชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในอีกไม่ช้านี้
อัตราคนตกงานในอเมริกาลดลงอย่างฮวบฮาบจากสถิติ 7.3% ในเดือนตุลาคม โดยมีการจ้างงานถึง 203,000 ตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายน
ตำแหน่งงานนั้นครอบคลุมทั้งภาคการผลิต, ค้าปลีก, สาธารณสุข และบริการวิชาชีพ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนจะเกรงว่า การงัดข้อระหว่างรัฐบาลเดโมแครต และฝ่ายรีพับลิกันในเรื่องของงบประมาณ และการตัดลดรายจ่ายภาครัฐจะเป็นเหตุบั่นทอนการจ้างงานก็ตาม
นักวิเคราะห์มองว่า รายงานล่าสุดจากกระทรวงแรงงาน อาจทำให้ เฟด มีเหตุผลมากพอที่จะลดมาตรการ QE ซึ่งก็คือการรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลในวงเงินถึง 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตัวเลขการจ้างงานในเดือนที่แล้ว แสดงถึงการฟื้นตัวที่ชัดเจนจากเมื่อช่วงกลางปี โดยค่าเฉลี่ยการจ้างงานในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ 193,000 คนต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากสถิติ 166,000 คนต่อเดือนในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าอัตราเฉลี่ย 203,000 คนต่อเดือนในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเคยทำให้ เฟด ต้องเริ่มพิจารณากรอบเวลาที่จะลดมาตรการ QE ลง
นักวิเคราะห์คาดว่า การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสสุดท้ายจะยังคงเชื่องช้า และเชื่อว่า เฟด จะยังไม่เริ่มพิจารณาลดขนาด QE (tapering) ในการประชุมวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ แต่คงจะรอดูตัวเลขการจ้างงานในเดือนต่อไปเสียก่อน นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าที่คาด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะอ่อนแอ แม้จะผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่มานานกว่า 4 ปีแล้วก็ตาม
ตามข้อมูลการจ้างงานที่กระทรวงแรงงานเผยแพร่เมื่อวานนี้ (6) จำนวนชาวอเมริกันตกงานลดลง 365,000 คน เหลือเพียง 10.9 ล้านคน ขณะที่จำนวนคนมีงานทำขยับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี อัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นน่าจะเกิดจากการที่พนักงานรัฐหลายแสนคนซึ่งถูกพักงานในช่วงที่สหรัฐฯ เกิดวิกฤต “ชัตดาวน์” ได้กลับเข้ามาทำงานตามปกติในเดือนพฤศจิกายน โดยพนักงานเหล่านั้นเคยถูกบันทึกว่าเป็นคนตกงานในเดือนตุลาคม
