เอเอฟพี/เอเจนซีส์ – ซาอุดีอาระเบียเตรียมพร้อมรับมือการประท้วงที่อาจเกิดขึ้นในวันนี้ (26 ต.ค.) ภายหลังที่นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีประกาศว่าจะ “รณรงค์แบบไม่มีกำหนดเวลา” เพื่อต่อต้านราชอาณาจักรหัวอนุรักษ์สุดโต่งแห่งนี้ที่ห้ามไม่ให้ผู้หญิงขับรถ
ก่อนหน้านี้ บรรดานักเคลื่อนไหวได้วางแผนว่าจะขับรถประท้วงกันวันนี้ (26) แต่ก็ต้องยกเลิกไปเนื่องจากพวกเธอได้รับคำเตือนว่าอาจถูกดำเนินคดี จึงเปลี่ยนมาจัดการรณรงค์ขับขี่แบบไม่มีกำหนดเวลา ในประเทศเดียวของโลกที่ห้ามผู้หญิงไม่ให้ขับรถแห่งนี้แทน
“ตามที่เราได้รับคำเตือน และต้องปฏิบัติตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย .. เราจึงขอความร่วมมือไม่ให้ผู้หญิงขับรถพรุ่งนี้ และเปลี่ยนจากการรณรงค์ในวันที่ 26 ตุลาคม มาจัดการรณรงค์เพื่อการขับขี่แบบไม่มีกำหนดเวลาแทน” นัจลา อัล-ฮอรีรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีวานนี้ (25)
ผู้หญิงหลายคนบอกว่า กระทรวงมหาดไทยซาอุดีอาระเบีย ได้โทรศัพท์เตือนพวกเธอว่า จะลงโทษบรรดานักเคลื่อนไหวที่ตัดสินใจเข้าร่วมการประท้วง และขอให้พวกเธอสัญญาว่าจะไม่ขับรถในวันเสาร์ (26)
ขณะที่ พลเอกมันซูร์ อัลตูร์กี โฆษกของกระทรวงมหาดไทยแถลงกับผู้สื่อข่าวเอเอฟพี “เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้หญิงในซาอุดีอาระเบียถูกห้ามไม่ให้ขับรถ และจะมีการดำเนินคดีกับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ตลอดจนผู้ที่ประท้วงเพื่อสนับสนุน” ให้ผู้หญิงขับรถ
เมื่อวันพุธ (23) กระทรวงนี้แถลงว่า จะใช้มาตรการลงโทษใครก็ตามที่พยายาม “ทำลายความสงบของประชาชน” ด้วยการจัดการชุมนุมหรือเดินขบวน “โดยอ้างว่าเป็นวันรณรงค์ขับรถของสตรี”
ฝ่ายนักรณรงค์ได้ออกมาเน้นย้ำว่า จะไม่มีการจัดการประท้วงในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แห่งนี้ ซึ่งมีกฎห้ามไม่ให้รวมตัวประท้วง
ทางด้านองค์การนิรโทษกรรมสากลได้ประณามกระทรวงมหาดไทยซาอุดีอาระเบีย ที่ขู่คุกคามนักเรียกร้องสิทธิเหล่านี้ ขณะที่องค์การฮิวแมนไรต์วอชท์ (HRW) ได้ออกมาเรียกร้องให้ยุติการเลือกปฏิบัติลิดรอนสิทธิสตรี
ซออิด บูเมดูฮา รักษาการผู้อำนวยการโครงการขององค์การนิรโทษกรรมประจำภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ชี้ว่า ทางการซาอุดีอาระเบีย “ยังคงใช้วิธีข่มขู่กรรโชกนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี”
ส่วนองค์การนิรโทษกรรมสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอนกล่าวว่า “การห้าม และการใช้วิธีขู่ให้ผู้คนกลัวแล้วปฏิบัติตามนั้น เป็นวิธีการที่ล้าสมัยในโลกสมัยใหม่ไปแล้ว อีกทั้งมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติกับสตรีอย่างกว้างขวาง ซึ่งลิดรอนเสรีภาพของสตรี และบ่อนทำลายชื่อเสียงของราชอาณาจักร”