เอเอฟพี - ชาวซูดานออกมาชุมนุมรอบใหม่ในวันพฤหัสบดี (26) ขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เผยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 29 ราย ในเหตุจลาจลต่อเนื่อง 3 วัน หลังประชาชนขุ่นเคืองรัฐบาลที่ตัดสินใจยกเลิกมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมัน
การชุมนุมที่ลุกลามบานปลายครั้งนี้ถือเป็นเหตุประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในซูดาน นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโอมาร์ อัสซาน อัล-บาชีร์ เข้าขึ้นสู่อำนาจในปี 1989
ผู้ประท้วงทำตามเสียงเรียกร้องของพวกนักเคลื่อนไหว ด้วยพากันออกมาชุมนุมในเขตอินกัซ ทางใต้ของกรุงคาร์ทูม โดยประชาชนราวๆ 3,000 คน เดินขบวนบนถนนสายหลักและพากันขว้างปาก้อนหินใส่รถยนต์ที่แล่นผ่านไปมา เมื่อเห็นดังนั้น ตำรวจจึงตอบโต้ด้วยการยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะในวันพฤหัสบดี (26)
ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน แหล่งข่าวของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองออมเดอร์มัน ซึ่งอยู่ติดกับเมืองหลวง บอกกับเอเอฟพีว่า “เราได้รับศพผู้เสียชีวิต 21 ราย” นับตั้งแต่การประท้วงเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันจันทร์ (23) พร้อมยืนยันว่าทั้งหมดเป็นพลเรือน ขณะที่แหล่งข่าวกับครอบครัวเหยื่ออ้างว่ามีคนอื่นๆ อีก 8 รายที่เสียชีวิตระหว่างการประท้วงในเขตการปกครองอื่นๆ
การชุมนุมรอบใหม่ในกรุงคาร์ทูมวันพฤหัสบดี (26) มีขึ้นขณะที่กองกำลังต่อต้านจลาจลถูกส่งเข้าประจำการตามแยกต่างๆ ของถนนสายหลักในชั่วโมงเร่งด่วน หลังจากเกิดจลาจลในหลายเขตของเมืองหลวงเมื่อวันพุธ (25) โดยเฉพาะย่านใกล้ๆแถบกลางกรุง จนส่งผลให้ระบบขนส่งสาธารณะต้องหยุดชะงัก ทั้งนี้เหตุความไม่สงบยังยืดเยื้อเข้าสู่ช่วงค่ำคืนและลุกลามไปยังย่านอื่นๆ ทั่วกรุงคาร์ทูม
เหตุชุมนุมเมื่อวันพุธ (25) แปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงในบางพื้นที่ ด้วยผู้ประท้วงเผาอาคารหลังหนึ่งของกระทรวงท่องเที่ยวในเขตทางตอนใต้ของกรุงคาร์ทูม อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ามันได้รับความเสียหายแต่ภายนอกเท่านั้น
เจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการแถลงสั่งปิดโรงเรียนหลายแห่งนับตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ขณะที่จนถึงวันพฤหัสบดี (26) พบว่าอินเทอร์เน็ตยังใช้งานไม่ได้ แต่ยังไม่ทราบถึงต้นตอที่ชัดเจนว่าเป็นเพราะความบกพร่องทางเทคนิคหรือเป็นความเคลื่อนไหวโดยเจตนาของทางการ
ด้านสถานทูตสหรัฐฯ ออกคำเตือนพลเมืองหลีกเลี่ยงพื้นที่ซึ่งเป็นจุดเสี่ยง หลังได้รับรายงานมีผู้เสียชีวิตท่ามกลางเหตุประท้วง และเตือนอเมริกันชนถึงความอันตรายของการชุมนุมที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ในความพยายามบรรเทาตัวเลขขาดดุลงบประมาณที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลจึงตัดสินใจยกเลิกอุดหนุนราคาน้ำมันเมื่อวันจันทร์ (23) การตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อคนยากจนและดูเหมือนจะเป็นตัวเร่งอัตราเงินเฟ้อด้วย
ทั้งนี้ แม้ประธานาธิบดีโอมาร์ ฮัสซาน อัล-บาชีร์ รอดพ้นจากรูปแบบจลาจลลุกฮือโค่นล้มผู้นำในโลกอาหรับ (Arab uprisings) ทั้งในตูนิเซีย อียิปต์และลิเบีย แต่ความขุ่นเคืองของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ต่อปัญหาคอร์รัปชันและวิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้าย
ซูดาน ต้องสูญเสียแหล่งน้ำมันสำรองไปราว 3 ใน 4 หลังจากซูดานใต้ได้รับเอกราชในปี 2011 ขณะที่แหล่งน้ำมันสำรองนี้ถือเป็นแหล่งรายได้หลักและเแหล่งเงินดอลลาร์สำหรับนำเข้าอาหารเพื่อประชากร 32 ล้านคนของประเทศ
รัฐบาลซูดาน เคยลดการอุดหนุนเชื้อเพลิงไปแล้วบางส่วนในเดือนกรกฎาคม 2012 แต่มันก็เป็นต้นตอของการประท้วงเล็กๆ น้อยๆ หลายสัปดาห์ และการชุมนุมในสัปดาห์นี้ถือว่ามีจำนวนผู้เข้าร่วมมากกว่าเมื่อปีที่แล้ว ทว่าก็ยังเทียบไม่ได้กับการเดินขบวนในอียิปต์หรือประเทศอาหรับอื่นๆ
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลซูดานเคยหวังว่าจะสามารถคงอุดหนุนราคาน้ำมันไว้ได้บางส่วน โดยนำรายได้จากการส่งออกทองคำมาชดเชยภาษีพลังงาน แต่แผนนี้ก็พังทลายลงหลังราคาทองคำโลกดิ่งลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเร็วๆ นี้
นายบาชีร์ มีกำหนดพูดกับเหล่าผู้นำโลกในวันพฤหัสบดี (26) แต่เฌอโรม แบร์นาร์ด โฆษกของสหประชาชาติ บอกกับเอเอฟพีว่านายอาลี คาร์ตี รัฐมนรีต่างประเทศจะเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติแทน อย่างไรก็ตามทางกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธข่าวนี้ และเรียกร้องวอชิงตัน ให้ความเคารพต่อหน้าที่และควรออกวีซาแก่นายบาชีร์รวมถึงคณะผู้แทนของประเทศที่เดินทางไปนิวยอร์กพร้อมกับเขา
ภายใต้ข้อตกลงนานาชาติ สหรัฐฯไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธวีซานายบาชีร์ ผู้ซึ่งมีหมายจับสากล แต่ก็สามารถควบคุมตัวเขาได้หากเดินทางไปถึง ขณะที่ทางศาลอาญาระหว่างประเทศเรียกร้องทางการอเมริกา ควบคุมนายบาชีร์ ทันที ตามหมายจับ 10 กระทง ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรสงคราม ก่ออาชญากรรมต่อมนุษย์และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างวิกฤตความขัดแย้งในแคว้นดาร์ฟูร์
