เอพี/เอเอฟพี - ราคาน้ำมันลงและทองคำทรงตัววานนี้(7) จากแนวโน้มความเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจลดระดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วๆนี้ ขณะที่วอลล์สตรีท ปิดลบเล็กน้อยท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่เงียบเหงา
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 93 เซนต์ ปิดที่ 104.37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และนับตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์น้ำมันนิวยอร์ก ขยับลงไปแล้ว 2.57 ดอลลาร์ ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 74 เซนต์ ปิดที่ 107.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา ลดลงมากกว่าที่คาดหมายไว้เล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันสต๊อกเบนซินกลับสูงขึ้นและตัวเลขหลังนี้เองที่ฮุดราคาน้ำมันขยับลง
ขณะเดียวกันอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันวานนี้(7) คือเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) หลายคน บ่งชี้ว่าที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดคราวต่อไป อาจมีมติเริ่มลดระดับมาตรการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนอย่างเร็วที่สุดในเดือนกันยายนนี้
โครงการเข้าซื้อพันธบัตรของเฟดคือมาตรการสำคัญที่ช่วยคงอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นตัวสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างตลาดหุ้นและน้ำมัน
แต่ในทางตรงข้ามข่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงปริมาณเร็วๆนี้ ก็ผลักให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มหันมาเข้าซื้อทองคำที่ถูกมองในฐานะสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และเป็นผลให้ราคาทองคำววานนี้(7) ปิดบวกเล็กน้อย โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 2.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,285.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(7) ขยับลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน และเป็นอีกหนึ่งวันที่เงียบเชียบด้านข่าวสารทางเศรษฐกืจ ขณะที่นักลงทุนชะลอดูทิศทางที่ชัดเจนของตลาด
ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 47.99 จุด (0.31 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,470.75 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 6.44 จุด (0.38 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,690.93 จุด แนสแดก ลดลง 11.76 จุด (0.32 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,654.01 จุด
นักวิเคราะห์มองว่านักลงทุนยังคงตรึกตรองถึงากรขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะหลัง อันเป็นผลจากรายงานผลประกอบการอันสดใสของบริษัทต่างๆและข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เผยแพร่ออกมาช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา "ตลาดหยุดพักหายใจหายคอ เพื่อรอข้อมูลต่างๆที่จะใช้แนวโน้มที่ชัดเจน" เดวิด เลวี จากสถาบันเคนโจล แคปิตอล แมเนจเมนต์กล่าว