xs
xsm
sm
md
lg

'สื่อสังคม'เป็นเชื้อเพลิงให้แก่'การเมืองใหม่'ในกัมพูชา

เผยแพร่:   โดย: มาร์ตา คัซเตลัน

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Cambodia: Social media fuels new politics
By Marta Kasztelan
06/08/2013

ผู้ออกเสียงในวัยหนุ่มสาว มีความกระฉับกระเฉงว่องไวมากในการคว้าโทรศัพท์สมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์ของพวกเขา มาบันทึกและรายงานความไม่ปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันเลือกตั้งระดับชาติของกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ในขณะที่ผู้เลือกตั้งซึ่งสามารถใช้สื่อสังคมได้อย่างคล่องแคล่วกำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เว็บไซต์ยอดนิยมเฉกเช่น “เฟซบุ๊ก” ก็กำลังกลายเป็นสถานที่สำหรับการอภิปรายถกเถียงเรื่องต่างๆ อย่างกว้างขวาง ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศนี้ให้พลิกโฉมไปจากเดิม

พนมเปญ – การเลือกตั้งสมาชิกสภาล่างในกัมพูชาซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยที่พรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party ใช้อักษรย่อว่า CPP) อันเป็นพรรครัฐบาล ได้รับชัยชนะอย่างเฉียดฉิวนั้น ปรากฏการณ์ที่โดดเด่นสำคัญมากประการหนึ่ง ได้แก่บทบาททางการเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของสื่อสังคมทางอินเทอร์เน็ต ตลอดช่วงเวลาการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พวกผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนมากได้อาศัยเครื่องโทรศัพท์สมาร์ตโฟน และเครื่องคอมพิวเตอร์ของพวกตนในการแลกเปลี่ยนแบ่งปันข้อมูลข่าวสาร และในวันหย่อนบัตรลงคะแนน พวกเขาก็ใช้เครื่องมือสื่อสารทันสมัยเหล่านี้ในการบันทึกและรายงานความไม่ปกติต่างๆ ของการเลือกตั้ง

ถึงแม้ประชาชนชาวกัมพูชาส่วนข้างมากที่สุด ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในเขตชนบทอันห่างไกล แต่ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในด้านเทคโนโลยีและในทางโครงสร้างประชากรของแดนเขมร ก็กำลังทำให้ผู้คนวัยหนุ่มสาวจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สามารถเข้าร่วมในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมทั้งหลาย ตามข้อมูลของสำนักงานสื่อสังคมที่ใช้ชื่อว่า “วี อาร์ โซเชียล” (We Are Social) ปัจจุบันในกัมพูชามียูสเซอร์หน้าใหม่เข้าร่วมใน “เฟซบุ๊ก” 1 คนในทุกๆ 2 นาที นี่หมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะมีสมาชิกใหม่สมัครเข้าไปใช้สื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังแห่งนี้เฉลี่ยแล้ววันละ 1,000 คน

พวกผู้ใช้สื่อสังคมในกัมพูชานั้น คือพวกที่อยู่ในหมู่ผู้คนอายุระหว่าง 18 ถึง 30 ปีจำนวน 3.5 ล้านคนซึ่งลงทะเบียนไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาล่าง อันมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) ในวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา (โดยที่ผู้มีสิทธิออกเสียงที่ไปลงทะเบียนเลือกตั้งทั่วประเทศรวมกันแล้วมีทั้งสิ้น 9.5 ล้านคน) ผู้ออกเสียงเยาว์วัยเหล่านี้จำนวนมากทีเดียวแสดงความไม่พอใจพรรคซีพีพี ด้วยการหันไปลงคะแนนให้พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคกู้ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party ใช้อักษรย่อว่า CNRP) นอกจากนั้น พวกเขายังกระตือรือร้นในการรณรงค์เรียกร้องผ่านทางออนไลน์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและทางสังคม

“เฟซบุ๊ก เป็นสถานที่อันยิ่งใหญ่มากสำหรับสาธารณชนที่จะแสดงความกังวลห่วงใยของพวกเขาเกี่ยวกับการเลือกตั้งคราวนี้ มันเป็นเวทีหนึ่งในจำนวนเวทีน้อยนิดเต็มทีซึ่งมีข้อมูลข่าวสารที่เป็นอิสระให้เสพ เพราะสื่อมวลชนแทบทั้งหมดนั้นถูกควบคุมโดยพรรคซีพีพี และเอาแต่เผยแพร่ข่าวสารที่สนับสนุนรัฐบาลเท่านั้น” นี่เป็นความเห็นของ อุน ซัมนัง (Un Samnang) ผู้เขียนรายงานข่าวให้แก่ “คอมเฟรล” (Comfrel) องค์กรอิสระทำหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์การเลือกตั้งในกัมพูชา

บรรดาองค์กรภาคประชาชนทั้งหลายต่างวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ขาดไร้สื่อมวลชนที่เป็นอิสระ แถมทางการผู้รับผิดชอบยังออกมาตรการเซ็นเซอร์ใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นอีกก่อนหน้าจะถึงการเลือกตั้งคราวนี้ องค์การ “ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน” (Reporters Without Borders) ซึ่งเป็นกลุ่มระดับนานาชาติที่รณรงค์เรียกร้องเสรีภาพสื่อมวลชน ได้ประณามการที่รัฐบาลกัมพูชาออกคำสั่งห้ามไม่ให้พวกสถานีวิทยุท้องถิ่นออกอากาศเผยแพร่บทวิจารณ์และบทความแสดงความคิดเห็นของสื่อต่างชาติ ในช่วงระยะ 5 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง ตลอดจนในวันหย่อนบัตรลงคะแนน

“เราขอประณามอย่างแรงกล้าต่อการที่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบมิได้เพิกถอนคำสั่งฉบับนี้ ซึ่งเหยียบย่ำทำลายเสรีภาพในด้านข้อมูลข่าวสาร เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทางการกัมพูชากำลังพยายามที่จำกัดไม่ให้ผู้ออกเสียงสามารถเข้าถึงรายการวิทยุที่มีเนื้อหาตรงไปตรงมาและไม่คร้ามเกรงที่จะก้าวล้ำเส้นที่รัฐบาลพยายามขีดวงจำกัดเอาไว้ การเข้าถึงข่าวสารและข้อมูลอิสระได้อย่างไม่มีข้อจำกัดนั้น ย่อมเป็นเสาเอกของการเลือกตั้งใดๆ ก็ตามซึ่งจะสามารถเรียกขานได้ว่าเป็นการเลือกตั้งอันเสรี” องค์การผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนระบุในคำแถลงฉบับหนึ่ง

ซัมนัง แห่ง คอมเฟรล ชี้ว่า ถึงแม้พวกสื่อมวลชนท้องถิ่นมิได้ถูกจำกัดในเรื่องการแสดงความคิดเห็นก่อนวันเลือกตั้งและในวันหย่อนบัตรลงคะแนนเช่นนี้ด้วย ทว่าสถานีวิทยุในกัมพูชาเกือบทั้งหมดก็เลือกที่จะเซ็นเซอร์การเสนอข่าวของตนเอง ในช่วงสัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้ง เนื่องจากความหวาดหวั่นว่าอาจจะถูกยึดใบอนุญาตออกอากาศ ในสภาพการณ์เช่นนี้เอง เขาเน้นว่า เฟซบุ๊กได้แสดงบทบาทในการเติมเต็มข่าวสารที่ขาดหายไป โดยเปิดทางให้ประชาชนสามารถช่วยเหลือกันและกันในการบอกเล่าย้ำเตือนถึงพัฒนาการต่างๆทางข่าวสารในช่วงเวลาก่อนหน้าการเลือกตั้ง

ในวันหย่อนบัตรลงคะแนน 28 กรกฎาคม เพจ “ไอ เลิฟ แคมโบเดีย ฮอต นิวส์” (I Love Cambodia Hot News) ของเฟซบุ๊ก ได้โพสต์คลิปวิดีโอบันทึกภาพการต่อสู้กันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเกิดขึ้นที่หน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งหลังจากมีการกล่าวหาว่าเกิดการทุจริตโกงเลือกตั้ง ปรากฏว่า ได้มียูสเซอร์แชร์คลิปวิดีโอนี้แทบจะในทันที 1,326 ราย และที่กด “ไลค์” (liked) ก็มี 1,663 ราย

พวกยูสเซอร์ของสื่อสังคม ยังเรียกร้องให้พี่น้องชาวกัมพูชาเดินทางกลับไปยังหน่วยเลือกตั้งต่างๆ ในตอนหมดเวลาลงคะแนน เพื่อคอยสังเกตการณ์การนับคะแนน ตามคำบอกเล่าของ ลัช วันนัค (Lach Vannak) แห่งศูนย์ชาวกัมพูชาเพื่อสิทธิมนุษยชน (Cambodian Centre for Human Rights) มีผู้ออกเสียงวัยหนุ่มสาวจำนวนมากทีเดียวพากันโพสต์ภาพการนับคะแนนที่พวกเขาถ่ายเอาไว้ และรายงานความผิดปกติต่างๆ อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ

“ชาวกัมพูชาถึงราว 70% ทีเดียวเป็นผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของระบอบปกครองเขมรแดง พวกเขาอยู่ในวัยหนุ่มสาวและปราศจากความกลัวที่จะพูดในสิ่งที่พวกเขาคิด โดยที่ เฟซบุ๊ก กลายเป็นสถานที่ซึ่งพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนแบ่งปันและถกเถียงอภิปรายกันเกี่ยวกับข่าวล่าสุดทั้งหลาย” วันนัค กล่าวต่อ

พวกพรรคการเมือง ไม่ว่า ซีพีพี ที่เป็นพรรครัฐบาล หรือ ซีเอ็นอาร์พี ที่เป็นฝ่ายค้าน ต่างเห็นความสำคัญและพยายามใช้ประโยชน์จากสื่อสังคม โดยที่ฝ่ายค้านนั้นพึ่งพาเวทีออนไลน์เช่นนี้มากกว่าสืบเนื่องจากพวกเขาถูกปิดกั้นจำกัดไม่ให้เข้าสู่สื่อมวลชนเขมรกระแสหลัก สม รังสี ผู้นำของฝ่ายค้าน อาศัยเพจในเฟซบุ๊กของเขาเป็นอย่างมากในการเข้าถึงผู้ออกเสียงวัยหนุ่มสาว และสร้างสมเพิ่มพูนแรงสนับสนุนให้แก่พรรคของเขา แม้กระทั่งการประกาศข่าวเกี่ยวกับการเดินทางกลับประเทศของเขาภายหลังหลบไปลี้ภัยอยู่ต่างประเทศอยู่หลายปี ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนหน้าวันเลือกตั้ง ก็ปรากฏออกมาทีแรกสุดบนเว็บไซต์เครือข่ายสังคมรายหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การใช้ เฟซบุ๊ก เพื่อหวังประโยชน์ทางการเมืองนั้น ใช่ว่าจะกระทำได้โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย ดังที่ วันนัค ชี้ว่า เวลานี้ผู้ออกเสียงจำนวนมากต่างกำลังจะคอยติดตามว่ามีการทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในตอนหาเสียงเลือกตั้งอย่างไรหรือไม่ “ประชาชนจะบันทึกสิ่งที่คุณให้สัญญาเอาไว้ และพวกเขาก็จะเรียกร้องให้คุณต้องทำตามที่ได้เคยพูดเอาไว้ด้วย” เขากล่าว “ด้วยเหตุนี้เฟซบุ๊กจึงสามารถที่จะแสดงบทบาทในการทำให้รัฐบาลชุดใหม่ต้องมีความโปร่งใสมากขึ้นและมีความรับผิดชอบสูงขึ้น”

ทางอ้าน อู ฤทธี (Ou Ritthy) บัณฑิตทางรัฐศาสตร์วัย 26 ปี ให้ความเห็นว่า แนวโน้มเช่นนี้จะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปภายหลังการเลือกตั้ง ฤทธี ซึ่งกำลังจัดรายการขึ้นในกรุงพนมเปญเพื่อให้เยาวชนมาอภิปรายกันอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับการเมือง แสดงความเชื่อว่าเฟซบุ๊กกำลังกลายเป็นสถานที่สำหรับการถกเถียงกันในเรื่องความยุติธรรมทางสังคมและเรื่องประชาธิปไตย และในท้ายที่สุดแล้วก็จะเป็นตัวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมทางการเมืองของกัมพูชา

“เรากำลังพยายามจัดให้มีการพบปะพูดคุยวงเล็กๆ ในชีวิตจริงขึ้นมา แต่การพูดคุยสนทนากันที่สำคัญที่สุดย่อมต้องเกิดขึ้นในเฟซบุ๊ก ผมชอบที่จะโพสต์ข้อความที่ก่อให้เกิดการขัดแย้งถกเถียงกัน และยั่วยุให้มีการอภิปรายกันทางออนไลน์ เพราะประชาธิปไตยนั้นต้องเกิดขึ้นจากการอภิปรายถกเถียงกัน” เขาบอก

ฤทธี คิดว่าพวกคนหนุ่มสาวซึ่งกำลังใช้สื่อสังคมเพื่อพูดจากันเกี่ยวกับการเมืองและเหตุการณ์ปัจจุบันเหล่านี้ คืออนาคตของกัมพูชา “พวกเขาจะเป็นผู้นำของเราในอนาคต แต่ผมไม่ได้กำลังพูดเพียงแค่การเป็นผู้นำทางการเมืองเท่านั้นนะ สักวันหนึ่ง พวกเขาจะเป็นผู้นำของครอบครัวหรือผู้นำของชุมชน”

ข้อเขียนนี้ปรากฏอยู่ในส่วน “Speaking Freely ” ของเอเชียไทมส์ออนไลน์ ซึ่งเป็นส่วนที่เปิดทางให้เหล่านักเขียนรับเชิญสามารถแสดงความคิดเห็นของพวกตน โดยไม่จำเป็นต้องมีมาตรฐานทางด้านบรรณาธิการในระดับเดียวกับพวกนักเขียนที่เขียนให้แก่เอเชียไทมส์ออนไลน์เป็นประจำ

มาร์ตา คัซเตลัน เป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและนักเขียนอิสระซึ่งพำนักอยู่ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา อันเป็นสถานที่ซึ่งเธอทำงานเป็นที่ปรึกษาให้แก่พวกองค์กรนอกภาครัฐบาลที่เน้นประเด็นปัญหาสิทธิในที่ดิน เธอยังทำงานให้ Business & Human Rights Resource Centre ศูนย์สารสนเทศออนไลน์ซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงลอนดอน ที่คอยเฝ้าติดตามผลกระทบของภาคบริษัทธุรกิจที่มีต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนทั้งในด้านบวกและด้านลบ
กำลังโหลดความคิดเห็น