xs
xsm
sm
md
lg

ยกกรณีมะกันล่าสังหารบิน ลาดิน-ฟ้อง รบ.ปากีฯ ล้มเหลวในทุกด้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเจนซีส์ - รายงานภายในที่หลุดรั่วถึงมือสื่อดัง แฉเหตุที่อุซามะห์ บิน ลาดิน สามารถกบดานในปากีสถานได้นานถึง 9 ปี รวมถึงการที่หน่วยซีลของอเมริกาบุกสังหารหัวหน้าเครือข่ายก่อการร้ายหมายเลข 1 ของโลกผู้นี้ตามอำเภอใจโดยที่ปากีสถานไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย เนื่องจากการพร้อมใจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำทางทหาร ข่าวกรอง และการเมืองในอิสลามาบัด

รายงานดังกล่าวที่หน่วยข่าวเจาะของอัลญะซีเราะห์ได้รับมาเพียงสำนักเดียว ยังเผยให้เห็นการไร้ความสามารถ “เป็นปกติ” ในทุกระดับของโครงสร้างการปกครองที่ช่วยให้หัวหน้าเครือข่ายอัลกออิดะห์ที่เป็นที่หมายหัวมากที่สุดในโลก ย้ายที่กบดานถึง 6 ครั้งภายในปากีสถาน

รายงานของคณะกรรมการแอบบอตทาบัดที่ตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน 2011 เพื่อสืบค้นข้อเท็จจริงในเหตุการณ์กองกำลังอเมริกันบุกสังหารบิน ลาดินฝ่ายเดียวในเมืองแอบบอตทาบัดของปากีสถาน มาจากการให้การของผู้เห็นเหตุการณ์กว่า 200 คน ซึ่งรวมถึงสมาชิกครอบครัวของบิน ลาดิน หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับปากีสถาน รัฐมนตรีอาวุโสในรัฐบาล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ข้าราชการ หน่วยข่าวกรองทุกระดับชั้น

รายงานฉบับนี้ที่ถูกรัฐบาลปากีสถานปกปิดมานาน เผยแพร่ออกมาเมื่อวันจันทร์ (8) โดยทีมข่าวเจาะของอัล ญะซีเราะห์ ไม่นานหลังจาก พล.อ.วิลเลียม แมกราเวน ผู้บัญชาการปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐฯ สั่งการให้นำแฟ้มเกี่ยวกับปฏิบัติการล่าสังหารบิน ลาดินของหน่วยซีลจากคอมพิวเตอร์ของกระทรวงกลาโหม และส่งให้สำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลดังกล่าวเล็ดลอดถึงมือสื่อ

หลังปฏิบัติการบุกสังหารบิน ลาดินในเดือนพฤษภาคม 2011 ของอเมริกา โดยที่ทั้งรัฐบาลและกองทัพปากีสถานไม่ระแคะระคาย อิสลามาบัดจึงตัดสินใจตั้งคณะกรรมการแอบบอตทาบัดขึ้นมาเพื่อสืบค้นว่า อเมริกาสามารถเข้าไปปฏิบัติภารกิจทางทหารที่ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงในปากีสถานได้อย่างไร และเหตุใดหน่วยข่าวกรองปากีสถานจึงไม่ล่วงรู้เลยว่า บิน ลาดิน กบดานอยู่ในแอบบอตลาบัด

รายงานความยาว 336 หน้าของคณะกรรมการชุดนี้ระบุว่า ทั้งรัฐบาลและกองทัพปากีสถานต้องรับผิดชอบต่อ “ความไร้ประสิทธิภาพอย่างมโหฬาร” ที่นำไปสู่ “ความล้มเหลวร่วมกัน” ที่ปล่อยให้บิน ลาดิน สามารถหลบหนีการตามล่า และปล่อยให้อเมริกาเข้าไป “ก่อสงคราม”

จากการสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ คณะกรรมการฯ พบว่า บิน ลาดินลอบเข้าสู่ปากีสถานกลางปี 2002 หลังหนีรอดหวุดหวิดจากการต่อสู้ในโทรา โบรา อัฟกานิสถานเดือนธันวาคม 2011

เจ้าหน้าที่ข่าวกรองระบุว่า ระหว่างซ่อนตัวอยู่ทางเหนือของปากีสถาน หัวหน้าเครือข่ายก่อการร้ายหมายเลข 1 ของโลก ได้พบกับคาลิด เชค โมฮัมหมัด ผู้ถูกกล่าวหาอยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรม 9/11 ในช่วงต้นปี 2013 และหลังจากนั้น 1 เดือน โมฮัมหมัดถูกจับกุมในราวัลปินดีจากปฏิบัติการร่วมอเมริกา-ปากีสถาน

ส่วนบิน ลาดินหนีไปซ่อนตัวต่อในเมืองหริปุระ ทางเหนือของปากีสถาน และอยู่ที่นั่น 2 ปีในบ้านเช่าร่วมกับภรรยา 2 คน ลูกและหลานอีกหลายคน

เดือนสิงหาคม 2005 ทั้งหมดย้ายไปแอบบอตทาบัด เมืองที่เป็นที่ตั้งค่ายทหารและห่างจากกรุงอิสลามาบัด 85 กิโลเมตร และอยู่ในเมืองนี้นานถึง 6 ปีกระทั่งถูกหน่วยซีลบุกสังหารเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

การสอบสวนยังพบว่า หน่วยข่าวกรองปากีสถาน “ปิดบัญชี” เกี่ยวกับบิน ลาดินตั้งแต่ปี 2005 อีกทั้งยังพบว่า นอกจากขาดข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับที่ซ่อนของบิน ลาดินภายในประเทศแล้ว รัฐบาลปากีสถานยังล้มเหลวในการตอบโต้ปฏิบัติการบุกสังหารตามอำเภอใจของอเมริกา อันเกิดจากการเพิกเฉยและไร้ความสามารถที่หยั่งรากอย่างชัดเจนไม่มากก็น้อยในเกือบทุกระดับของรัฐบาล

รายงานแจงว่า การที่ซีไอเอเข้าไปตั้งเครือข่ายสนับสนุนเพื่อตามล่าบิน ลาดินโดยที่ไม่มีหน่วยงานใดๆ ของปากีสถานสำเหนียกเลย คือประจักษ์พยานการพร้อมใจละทิ้งหน้าที่ของผู้นำการเมือง การทหาร และข่าวกรองที่หยั่งรากมานาน อันเป็นผลให้ประเทศล้มเหลวโดยเกือบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้

คณะกรรมการฯ ยังพบว่า การที่อเมริกาสามารถละเมิดอธิปไตยปากีสถานด้วยการเปิดปฏิบัติการฝ่ายเดียวเกิดขึ้นเนื่องจากการประเมินสถานการณ์ที่ไม่แม่นยำและล้าสมัยของหน่วยงานด้านนโยบายกลาโหมและยุทธศาสตร์ ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การทหารครั้งใหญ่ ปากีสถานจะยังคงเสี่ยงถูกบุกรุกทางอากาศซ้ำ

คณะกรรมการฯ ทิ้งท้ายด้วยการเรียกร้องให้รัฐบาลเผยแพร่รายงานนี้ต่อสาธารณชน รวมทั้งเรียกร้องให้ผู้นำสำคัญขอโทษอย่างเป็นทางการต่อการละเลยความรับผิดชอบ ทว่า รัฐบาลกลับเลือกปกปิดรายงานฉบับนี้จนกระทั่งอัลญะซีเราะห์ได้รับสำเนาและนำออกมาเผยแพร่ในครั้งนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น