เอเจนซีส์ - องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA มีแผนที่จะกักการนำเข้าเมล็ดทับทิมจากบริษัทตุรกี เหตุเพราะมีการระบาดไวรัสตับอักเสบ A อย่างน้อย 5 รัฐทั่วสหรัฐฯ ที่เกี่ยวพันกับอาหารแช่แข็งที่มีส่วนประกอบของเมล็ดทับทิมผสมอยู่ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระบาดของโรคได้ถูกเรียกคืนในเดือนนี้
FDA และกองการควบคุมโรคติดต่อหรือ CDC ได้ประเมินว่าพาหะของการระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบ A ในขณะนี้นั้นมาจากการขนส่งของเมล็ดทับทิมที่นำเข้าจากบริษัทตุรกี “โกนัวร์ ฟูดสตัฟส์ อิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต เทรดดิง” รายงานจากแถลงการของFDA
บริษัทอาหารสหรัฐฯ ทาวน์เซนด์ ฟาร์มส์ แห่ง แฟร์วิว รัฐโอเรกอน ใช้เมล็ดทับทิมนำเข้าจากตุรกีนี้เป็นวัตุดิบในการผลิตทำผลไม้ออร์แกนิกรวมแช่แข็งสำหรับเป็นส่วนผสมทำผลไม้ปั่นสมูทตี้ ภายใต้ชื่อ “ทาว์นเซนด์ ฟาร์มส์ แอนด์ แฮรีส ทีเตอร์ ออร์แกนิก แอนตี้ออกซิแดนท์ เบลนด์” ผ่านช่องทางการจำหน่ายโดยห้างขายส่งคอสโค สหรัฐฯ ที่เพิ่งถูกเรียกคืนในเดือนนี้ FDA เผย
นอกจากนี้ เมล็ดทับทิมนำเข้าจากตุรกีพวกนี้ยังถูกใช้โดย “ซีนิก ฟูด โค. แห่ง เกรสชัม ที่โอเรกอนเพื่อผลิตสินค้าของพวกเขาภายใต้ชื่อ “เมล็ดทับทิมออร์แกนิกแช่แข็งวูดสตอร์ก” ที่เพิ่งถูกเก็บออกจากตู้แช่แข็งเมื่อเร็วๆ นี้ อ้างอิงจากหน่วยงานองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ
ในวันพฤหัสบดี (27) ที่ผ่านมา มีชาวอเมริกันราว 127 ราย ใน 8 มลรัฐ คือ แอริโซนา โคโลราโด ฮาวาย เนวาดา นิวเม็กซิโก ยูทาห์ และวิสคอนซิน ล้มป่วยลงเพราะการรับประทานผลไม้รวมแช่แข็งของทาว์นเซนด์ ฟาร์มส์ ส่วนผู้ที่ป่วยในวิสคอนซินเป็นเพราะการรับประทานผลไม้แช่แข็งยี่ห้อนี้ในแคลิฟอร์เนีย
โรคนี้เริ่มระบาดในตอนกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รายงานโดย CDC และในตอนต้นเดือนมิถุนายน บริษัททาว์นเซนด์ ฟาร์มส์ ได้เก็บสินค้าผลไม้ออร์แกนิกรวมแช่แข็งคืนออกจากตู้แช่ของห้างคอสโค
โรคระบาดไวรัสตับอักเสบ A นี้เป็นจีโนไทป์ 1B ถูกพบในตัวอย่างทดลองในห้องแล็บของคนไข้ 56 คนจาก 7 รัฐ การเปิดเผยของ CDC ซึ่งไวรัสในสายพันธ์นี้มักไม่ค่อยที่จะได้พบในอเมริกา แต่สามารถพบได้ที่แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง
“การระบาดของโรคนี้ทำให้ต้องตั้งคำถามถึงความปลอดภัยด้านอาหารในระบบอาหารของโลกในทุกวันนี้” ไมเคิล อาร์ เทย์เลอร์ รองอธิบดี FDA กล่าว
“การที่ผลิตภัณฑ์เดียวที่มีวัตถุดิบหลากหลายที่มีแหล่งที่มาจากจากหลายประเทศ ทำให้ตรวจสอบได้ยากมากขึ้น การระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบ A ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าเราต้องเพิ่มความสามารถของเราที่จะตรวจหาและตอบสนองต่อการปนเปื้อนได้ทันท่วงที และนี่เป็นเหตุผลทำไมว่าเราถึงกำลังสร้างระบบความปลอดภัยด้านอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยง” เทย์เลอร์กล่าวปิดท้าย
