เอเจนซีส์ - จากการรายงานของสถานีข่าว CBS พบข้อมูลจากบันทึกความทรงจำ หรือเมโม ของหน่วยงานรักษาความปลอดภัยทางด้านการทูต หรือ DDS ว่า พบถึงการประพฤติผิดของเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯในต่างกรรมต่างวาระต่างๆ ตั้งแต่การเที่ยวหญิงบริการยันการค้ายาเสพติด
ออเรเลีย เฟดเดนิสน์วัย 26 อดีตผู้ตรวจสอบภายในของหน่วย DDS หรือ หน่วยงานรักษาความปลอดภัยทางด้านการทูต ทำหน้าที่ให้ความปลอดภัยกับสถานทูตสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯในต่างแดน รวมทั้งตรวจสอบการประพฤติผิดในวาระต่างๆของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเผยกับ CBS ว่า เจ้าหน้าที่ของ DDS มักจะได้รับการขอร้องเสมอที่จะไม่ต้องเอาจริงเอาจังในการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
นอกจากนี้ยังพบว่า เมโมของDDSนั้นมีเนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์อย่างน้อย 8 ครั้งที่เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ มีการกระทำที่ไม่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงเบรุต เลบานอน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสถานทูต มีส่วนพัวพันกับ “อาชญากรรมทางเพศ” นอกจากนี้ข้อมูลในเมโมยังรวมไปถึง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ นางฮิลลารี คลินตัน ที่พัวพันกับ “การใช้บริการของหญิงโสภณีขณะที่ปฎิบัติหน้าที่ในต่างแดน”
และยังพบว่า มีความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่ในกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯพยายามที่จะปกปิดการทำผิดที่ว่านี้ไม่ให้เปิดเผยสู่สาธารณะ อาทิ ข่าวฉาวที่เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยประจำตัวประธานาธิบดีโอบามา 11 คน และเจ้าหน้าที่กองทัพ 5 คน ใช้บริการหญิงขายบริการในโคลัมโบ ปี 2012 เป็นเพราะข่าวอื้อฉาวนั้นทำให้สหรัฐฯเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของทวีปอเมริกาในปีนั้นด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
เฟดเดนิสน์ผู้เป็นผู้เปิดประเด็นข่าวฉาวชิ้นนี้ เธอป็นส่วนหนึ่งของทีมที่เขียนรายงานเกี่ยวกับความประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่กระทรวงในครั้งอื่นๆ เช่นมีการเกี่ยวพันกับเอกอัครราชทูตของสหรัฐฯท่านหนึ่งที่ถูกต้องสงสัยว่าอาจเรียกใช้บริการโสเภณีในสวนสาธารณะ และเป็นที่น่าแปลกใจว่า “เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯคนนั้น” ได้กลับเข้าดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะมีความเกี่ยวพันในการใช้บริการของหญิงขายบริการทางเพศก็ตาม
ต่อเรื่องอื้ฉาวนี้ แพทริก เคนเนดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เผยว่า “เอกอัครราชทูตท่านนั้นได้กลับเข้าดำรงตำแหน่ง โดยไม่มีโทษทางวินัย” หลังจากที่เขาได้เรียกเอกอัคราชทูตท่านนั้นพบที่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี และโฆษกกระทรวงต่างประเทศ แพทริก เวนเทรล กล่าวว่า “ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศสหรัฐฯ ไม่มีบทบาทในการตัดสินใจในเรื่องนี้”
จากเนื้อความของเมโมเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯระดับอาวุโสได้ขอร้องให้ให้ DDS หยุดการตรวจสอบในเรื่องต่างๆ อาทิเช่น เรื่องที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯพัวพันกับการใช้บริการโสเภณี CBS รายงานด้วยว่า หลังจากข่าวเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ได้มีผุ้ตรวจสอบประจำกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางไปบ้านพักของ ออเรเลีย เฟดเดนิสน์
อนึ่ง อ้างอิงจากร่างของรายงานนี้ที่ทำขึ้นเพื่อเสนอต่อหน่วยงานDDSมีข้อความที่แสดงว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯขัดขวางการสอบสวน ได้ถูกลบออกจากรายงานฉบับสมบูรณ์ในท้ายที่สุด ในการนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของDDSบอกกับเธอว่า “สิ่งนี้จะฆ่าพวกเรา” เฟดเดนิสน์กล่าวตบท้าย