เอเจนซีส์ - ระบบอาวุธสำคัญกว่า 20 ระบบของอเมริกา เป็นต้นว่า จรวดแพทริออตรุ่นแอดแวนซ์, ระบบเอจิส, เครื่องบินขับไล่เอฟ/เอ-18, เครื่องบินไฮบริด วี-22 ออสเปรย์ ต่างถูกแฮกเกอร์จีนโจมตีล้วงความลับการออกแบบทั้งนี้ตามข่าวของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ในวันจันทร์(27พ.ค.) ขณะที่สื่อออสเตรเลียก็รายงานว่า นักเจาะระบบแดนมังกรแอบฉกพิมพ์เขียวอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของหน่วยข่าวกรองสเตรเลีย ทำให้ล่วงรู้ละเอียดยิบตั้งแต่แผนผังพื้นที่ไปจนถึงตำแหน่งที่ตั้งระบบสื่อสารและคอมพิวเตอร์
วอชิงตัน โพสต์อ้างรายงานที่คณะกรรมการวิทยาศาสตร์ด้านการกลาโหมจัดทำขึ้นเสนอต่อกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ระบุว่า แบบดีไซน์ของระบบอาวุธอเมริกันที่ถูกแฮกเกอร์จีนโจมตีล้วงความลับ มีดังเช่น ระบบจรวดต่อต้านขีปนาวุธแพตทริออตรุ่นแอดแวนซ์, ระบบต่อต้านขีปนาวุธนำวิถีเอจิสของกองทัพเรือ, เครื่องบินขับไล่ เอฟ/เอ-18, เครื่องบินลูกผสมเฮลิคอปเตอร์ วี-22 ออสเปรย์, เฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก, และเครื่องบินขับไล่ เอฟ-35 จอยต์ สไตรค์ ไฟเตอร์ ซึ่งหลายๆ ระบบมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันยุโรป เอเชีย และอ่าวเปอร์เซีย
รายงานฉบับนี้ไม่ได้ระบุขนาดขอบเขตหรือช่วงเวลาที่มีการโจรกรรมทางไซเบอร์ หรือระบุว่า แฮกเกอร์ล้วงความลับไปด้วยการเจาะเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ บริษัทที่เป็นผู้รับเหมาทำสัญญากับรัฐบาลอเมริกัน หรือบริษัทที่เป็นผู้รับช่วงสัญญา อย่างไรหรือไม่
แต่วอชิงตันโพสต์บอกว่า การจารกรรมดังกล่าวจะทำให้จีนมีความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง เช่น ความสามารถในการเข้าโจมตีทำลายระบบสื่อสารและป้อนข้อมูลที่ผิดพลาด รวมทั้งอาจสนับสนุนให้ปักกิ่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านกลาโหมสำเร็จลุล่วงเร็วขึ้น
ก่อนหน้านี้ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนี้เอง เพนตากอนก็ได้ส่งรายงานประจำปีว่าด้วยการพัฒนากองทัพของจีนต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า จีนใช้การจารกรรมเพื่อหาข้อมูลข่าวสารมาพัฒนาปรับปรุงกองทัพของตนให้ทันสมัย และการเจาะระบบคอมพิวเตอร์เช่นนี้เป็นข้อกังวลอันสำคัญของอเมริกา ทั้งนี้รายงานระบุด้วยว่า การพุ่งเป้าเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลสหรัฐฯเช่นนี้ สามารถสาวกลับไปได้โดยตรงถึงรัฐบาลจีนและกองทัพจีน อย่างไรก็ดี ทางการปักกิ่งออกมาตอบโต้ว่า ข้อกล่าวหานี้ไม่มีมูล
ย้อนกลับไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทวิจัย แมนเดรียนต์ ของอเมริกา ได้ออกมาระบุว่า หน่วยงานลับหน่วยหนึ่งในกองทัพจีน ได้ขโมยข้อมูลหลายร้อยเทราไบต์ไปจากองค์กรต่างๆ อย่างน้อย 141 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ
ทางด้านสถานีวิทยุและโทรทัศน์เอบีซีของออสเตรเลียรายงานในวันอังคาร (28) ว่า พวกแฮกเกอร์ที่มีส่วนเชื่อมโยงถึงจีน ได้ขโมยพิมพ์เขียวอาคารสำนักงานใหญ่องค์การข่าวกรองเพื่อความมั่นคงของออสเตรเลีย (Australia Security Intelligence Organisation)
รายงานนี้บอกว่า การโจมตีดังกล่าวซึ่งกระทำผ่านคอมพิวเตอร์ของบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง ไม่เพียงเข้าถึงแผนผังอาคารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตำแหน่งเครือข่ายสื่อสารและระบบคอมพิวเตอร์ของอาคารมูลค่า 630 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียแห่งนี้ด้วย
เดส บอลล์ นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงของออสเตรเลีย ชี้ว่าข้อมูลดังกล่าวทำให้สำนักงานใหญ่หน่วยงานข่าวกรองภายในประเทศของแดนจิงโจ้แห่งนี้ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง
อาคารแห่งนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายรวบรวมข่าวกรองอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกที่ครอบคลุมทั้งอเมริกาและสหราชอาณาจักร ทว่า การก่อสร้างต้องล่าช้าและมีต้นทุนบานปลาย ซึ่งบริษัทก่อสร้างบางแห่งโทษว่า เนื่องจากการเปลี่ยนการออกแบบเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ทำให้ไม่สามารถเปิดได้ตามกำหนดในเดือนที่ผ่านมา
เอบีซีรายงานต่อไปว่า การเจาะระบบของจีนเป็นส่วนหนึ่งของกระแสการโจมตีทางไซเบอร์ต่อเป้าหมายทางธุรกิจและการทหารในบรรดาประเทศที่เป็นพันธมิตรกับอเมริกา
รายงานแจงว่า แฮกเกอร์จีนยังขโมยข้อมูลลับจากกระทรวงกิจการต่างประเทศและการค้าของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของ สำนักข่าวข่าวกรองลับออสเตรเลีย (Australian Secret Intelligence Service) อันเป็นหน่วยงานสายลับระหว่างประเทศของแดนจิงโจ้ รวมทั้งพุ่งเป้าที่บริษัทท้องถิ่น เป็นต้นว่า บลูสโคป สตีล ผู้ผลิตเหล็กกล้า และ โคแดน ผู้ผลิตระบบสื่อสารทางการทหารและพลเรือน
กรีน ปาร์ตี้ พรรคการเมืองทรงอิทธิพลในออสเตรเลีย เรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบเรื่องนี้ ทว่า นายกรัฐมนตรีจูเลีย กิลเลียน แถลงว่า รายงานของเอบีซี "ไม่ถูกต้อง" และเป็น “รายงานข่าวที่ไม่มีมูล” แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นใด
สำหรับปฏิกิริยาจากปักกิ่ง เมื่อถูกผู้สื่อข่าวสอบถามถึงรายงานข่าวจากออสเตรเลียนี้ หง เหล่ย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนตอบว่า จีนให้ความสนใจยิ่งกับประเด็นเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์ และจีนคัดค้านอย่างหนักแน่นไม่เห็นด้วยกับการโจมตีของพวกแฮกเกอร์ในทุกรูปแบบ
“เนื่องจากเป็นเรื่องลำบากยากยิ่งที่จะค้นหาว่าการโจมตีของแฮกเกอร์มีต้นตอมาจากไหนแน่ๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องลำบากยากยิ่งที่จะค้นหาว่าใครเป็นผู้ทำการโจมตีดังกล่าว” หง บอก “ผมไม่ทราบว่าสื่อมีหลักฐานอะไร จึงได้เขียนรายงานชนิดนี้ออกมา”
โฆษกผู้นี้ยังกล่าวย้ำจุดยืนของจีนที่ว่า ทุกประเทศล้วนแต่ตกเป็นเป้าถูกโจมตีทางไซเบอร์ ประเทศต่างๆ จึงควรใช้ความพยายามร่วมกันเพื่อให้เกิดอินเทอร์เน็ตที่มั่นคงและเปิดกว้าง
ในส่วนของออสเตรเลียนั้น ได้ให้ความสำคัญกับการรับมือการโจมตีทางไซเบอร์อย่างมากเช่นเดียวกับชาติตะวันตกอื่นๆ หลังจากประเทศที่มีทรัพยากรมั่งคั่งแห่งนี้ถูกโจมตีบ่อยครั้งขึ้นในระยะหลังๆ โดยส่วนใหญ่เชื่อว่า เป็นฝีมือของจีน
เมื่อสองปีที่แล้ว ระบบคอมพิวเตอร์ของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศและกลาโหมถูกสงสัยว่าถูกเจาะระบบ โดยต้นทางการโจมตีมาจากจีน ล่าสุดคือเมื่อต้นปี เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของธนาคารกลางออสซี่ถูกแฮก ซึ่งแหล่งข่าวบางคนบอกว่า เครือข่ายคอมพิวเตอร์ดังกล่าวถูกปล่อยมัลแวร์ที่พัฒนามาจากจีนเพื่อขโมยข้อมูลอ่อนไหว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่หัวเหว่ย บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่แดนมังกร ถูกขัดขวางไม่ให้ร่วมประมูลสัญญาเครือข่ายบรอดแบนด์มูลค่า 35,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากออสเตรเลียเกรงว่า ตนเองจะตกเป็นเป้าหมายอันเปราะบางจากการโจมตีทางอินเทอร์เน็ต