เอเจนซี/เอเอฟพี - อัยการเยอรมนีเผยเมื่อวันศุกร์(10) จับกุมชาวเนเธอร์แลนด์ 2 ราย ฐานต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับคดีโจรกรรมข้อมูลข้อมูลบัตรเดบิตของธนาคาร 2 แห่งในตะวันออกกลาง และดำเนินการถอนเงินตามตู้เอทีเอ็มต่างๆทั่วโลกเป็นจำนวนกว่า 45 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,260 ล้านบาท)
เมื่อวันพฤหัสบดี(9) ทางการสหรัฐสามารถรวบตัวแก๊งอาชญากรรมจำนวน 7 ราย ฐานก่อคดีแฮ็กฐานข้อมูลบัตรเดบิตของผู้คนจำนวนมาก และถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มต่างๆใน 27 ประเทศทั่วโลก
ล่าสุดในวันศุกร์(10) สำนักงานอัยการดุสเซลดอร์ฟ ระบุว่าชายวัย 35 ปีและสตรีวัย 56 ปี ถูกกล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่าเป็นคนใช้บัตรเดบิตของธนาครมัสกัส ถอนเงินจำนวน 170,000 ยูโร ไปจากตู้เอทีเอ็มในเมืองดุสเซลดอร์ฟเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พร้อมกันนั้นยังพบว่าทั้งสองยังตระเวนไปกดเงินตามเมืองต่างๆของเยอรมนี 7 แห่ง รวมเป็นเงินที่ถอนออกมาทั้งหมดสูงถึง 1.8 ล้านยูโร
"เราจับกุมชาวเนเธอร์แลนด์ 2 คนในเยอรมนี ซึ่งทั้งสองน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอาชญากรรมนี้" โฆษกสำนักงานอัยการระบุ พร้อมบอกว่าทั้งสองเดินทางมาดุสเซลดอร์ฟ ด้วยมีวัตถุประสงค์คือถอนเงินในเยอรมนี และถูกกล่าวหาฉ้อฉลทางคอมพิวเตอร์และใช้บัตรเครดิตปลอม ขณะที่สมาคมธนาคารของเยอรมนี ยอมรับยังไม่ทราบว่ามีแบงค์อื่นๆในเยอรมนี ที่ต้องมาสูญเงินไปด้วยกลโกงนี้อีกหรือเปล่า
อัยการสหรัฐฯระบุเมื่อวันพฤหัสบดี(9) ว่าเหล่ามือแฮกเกอร์เจาะเข้าไปยังฐานข้อมูลยอดคงเหลือและวงเงินจำกัดการถอนของบัตรเดบิตมาสเตอร์การ์ดแบบชำระเงินล่วงหน้าที่ออกโดยธนาคารมัสกัสของโอมาน และ National Bank of Ras Al Khaimah (RAKBANK) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากนั้นก็จะแจกจ่ายบัตรเดบิตปลอมไปยังผู้สมรู้ร่วมคิดทั่วโลก ซึ่งคนเหล่านั้นก็จะสามารถกดเงินออกจากตู้เอทีเอ็มจำนวนหลายล้านดอลลาร์ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
อัยการสหรัฐระบุว่าการโจรกรรมข้อมูลดังกล่าวเปรียบได้กับปฎิบัติการปล้นแบงก์ครั้งมโหฬารแห่งยุคศตวรรษที่ 21 โดยเหตุการณ์ฉกเงินเหยื่อ พบว่ากลุ่มคนร้ายใช้เวลาเพียง 10 ชั่วโมง ได้เงินไปกว่า 40 ล้านดอลลาร์ ซึ่งกลุ่มสามารถปล้นเงินชาวบ้านได้อย่างรวดเร็วจากข้อมูลที่แฮกผ่านอินเตอร์เนท กระทำต่อบริษัทต่างๆ ทั่วโลกของลูกค้า รวมทั้งในกรุงนิวยอร์ก