xs
xsm
sm
md
lg

ไม่มีที่ไหนปลอดภัยสำหรับ'ชาวฮาซารา'แห่งปากีสถาน (ตอนต้น)

เผยแพร่:   โดย: ไซเอด ฟาซล์-อี-ไฮเดอร์

ไม่มีที่ไหนปลอดภัยสำหรับ'ชาวฮาซารา'แห่งปากีสถาน (ตอนแรก)
โดย ไซเอด ฟาซล์-อี-ไฮเดอร์

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Nowhere is safe for Pakistan's Hazaras
By Syed Fazl-e-Haider
20/02/2013

ขณะที่ชุมชนชาวฮาซาราในเมืองแควตตา พากันเศร้าโศกอาลัยผู้เป็นที่รักของพวกเขาซึ่งต้องสูญสิ้นชีวิตไปเมื่อวันเสาร์ (16ก.พ.) ในเหตุโจมตีด้วยระเบิดของพวกหัวรุนแรงครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นห่างจากครั้งแรกเพียง 5 สัปดาห์ สถานการณ์ช่างดูมืดมนราวกับว่าไม่มีที่ไหนเลยที่จะปลอดภัยสำหรับชนกลุ่มน้อยนับถือศาสนาอิสลามนิกายชิอะห์เหล่านี้ ถึงแม้ชาวฮาซาราเรียกร้องต้องการให้ฝ่ายทหารเข้ามาปกครองดูแลพวกเขาเพื่อยุติการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้เสียที แต่มันก็กลับก่อให้เกิดคำถามเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเรื่องความล้มเหลวของรัฐบาลปากีสถานที่จะพิทักษ์คุ้มครองพลเมือง ให้ปลอดพ้นความหายนะซึ่งบังเกิดขึ้นจากความรุนแรงอันเนื่องมาแต่นิกายความเชื่อที่แตกต่างกัน

*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *

การาจี - ผู้คนนับพันจากชุมชนชนกลุ่มน้อยชาวฮาซารา (Hazara) ในเมืองแควตตา (Quetta) ออกมาประท้วงโดยวิธีการปฏิเสธไม่ยอมฝังศพผู้เป็นที่รักของพวกเขากันอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากพวกหัวรุนแรงชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ได้ทำให้เมืองใหญ่ของปากีสถานแห่งนี้ต้องมีเลือดอาบนองอีกคราวหนึ่งในวันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ด้วยการสังหารผู้คนไปอย่างน้อยที่สุด 89 ศพ ในจำนวนนี้มีทั้งผู้หญิงและเด็กๆ การก่อการร้ายอันสยดสยองกลับมาเยือนเมืองแควตตาอีกคำรบหนึ่งเพียงแค่ 5 สัปดาห์หลังจากได้เกิดเหตุวางระเบิด 2 ครั้งซ้อนๆ ในคืนวันที่ 10 มกราคม ซึ่งได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 100 คนและบาดเจ็บอีกกว่า 150 คน ชุมชนชาวชิอะห์เหล่านี้ต้องออกมาตอกย้ำข้อเรียกร้องของพวกเขาที่ขอให้ฝ่ายทหารเข้าแทรกแซงในพื้นที่ซึ่งพร้อมเดือดปะทุจากความแตกต่างทางนิกายความเชื่อแห่งนี้

การนั่งประท้วงของชาวฮาซาราในแควตตา เมืองหลวงของแคว้นบาลูจิสถาน (Balochistan) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถาน ย่างเข้าวันที่ 4 ในวันพุธ (20ก.พ.) พวกเขาพบว่าตนเองยังคงอยู่ในสถานะอันไร้ความปลอดภัยเฉกเช่นเดียวกับเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนที่พวกเขาต้องพากันประกาศไม่ยอมฝังศพผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 86 ศพเพื่อเป็นการประท้วงที่รัฐบาลมิได้ดำเนินการอะไรเลย สำหรับในการโจมตีที่เกิดขึ้นรอบที่สองเมื่อวันเสาร์ (16 ก.พ.) นั้น แทงค์น้ำที่อัดแน่นด้วยวัตถุระเบิดถึง 1 ตันถูกจุดระเบิดขึ้นในตลาดที่มีผู้คนหนาแน่น ทั้งนี้ ลัชคาร์-อี-จังวี (Lashkar-e-Jhangvi หรือ LeJ) กลุ่มหัวรุนแรงชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ที่ถูกทางการประทับตราให้เป็นองค์กรผิดกฎหมายไปแล้ว ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบเป็นผู้ก่อเหตุสังหารหมู่สุดหฤโหดทั้ง 2 รายนี้

องค์การสิทธิมนุษยชน ฮิวแมน ไรต์ วอตช์ (Human Rights Watch) ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลปากีสถานที่ยังคงล้มเหลวอย่างสม่ำเสมอไม่ยอมเลิก ในการพิทักษ์คุ้มครองชุมชนคนกลุ่มน้อยชาวชิอะห์เหล่านี้ จากการโจมตีด้วยสาเหตุความแตกต่างทางนิกายศาสนาจากประดากลุ่มหัวรุนแรงชาวสุหนี่

“พวกเขา (ชาวฮาซารา) ต้องมีชีวิตอยู่เสมือนกับมีการประกาศภาวะถูกโอบล้อมโจมตี (state of siege) การก้าวออกมาจากย่านชุมชนก็หมายถึงการเสี่ยงต่อความตาย” หนังสือพิมพ์เอ็กซ์เพรสทรีบูน (Express Tribune) รายงานคำแถลงของ อาลี ดายัน ฮาซัน (Ali Dayan Hasan) ผู้อำนวยการฝ่ายปากีสถาน ของ ฮิวแมน ไรต์ วอตช์ “ทุกๆ ฝ่ายต่างก็ล้มเหลวไม่สามารถคุ้มครองพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นพวกหน่วยงานด้านความมั่นคง, รัฐบาล, ศาลยุติธรรม การโจมตีครั้งก่อนที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม สาธิตให้เห็นแล้วว่าแม้กระทั่งอยู่กันภายในย่านชุมชนเองก็ยังไม่มีความปลอดภัย พวกที่ปองร้ายยังจะมาตามล่าพวกเขาอยู่นั่นเอง”

**ความล้มเหลวของรัฐบาล**

เมื่อเดือนที่แล้ว นายกรัฐมนตรี ราจา เปอร์เวซ อัชรัฟ (Raja Pervez Ashraf) สั่งปลดคณะรัฐบาลผสมของแคว้นบาลูจิสถานที่นำโดยมุขมนตรี (chief minister) นาวับ อัสลัม ไรซานี (Nawab Aslam Raisani) และประกาศใช้การปกครองโดยผู้ว่าการแคว้น (governor rule) ภายในแคว้นแห่งนี้ ภายหลังเกิดการชุมนุมประท้วงและการนั่งประท้วงตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ด้วยความไม่พอใจกับเหตุการณ์เข่นฆ่าด้วยสาเหตุความแตกต่างทางนิกายความเชื่อในเมืองแควตตาเมื่อวันที่ 10 มกราคม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนมาใช้รูปแบบการปกครองโดยผู้ว่าการแคว้น ก็ยังไม่สามารถสกัดกั้นความรุนแรงได้อยู่ดี

ในปากีสถานนั้น เกิดเหตุที่ชาวมุสลิมชิอะห์ถูกโจมตีจากพวกกลุ่มหัวรุนแรงชาวสุหนี่กันเป็นประจำตลอดทั่วประเทศ กระนั้นความรุนแรงที่ชาวฮาซาราตกเป็นเหยื่อก็มีจำนวนมากเป็นพิเศษ เมื่อปีที่แล้ว มีชาวมุสลิมชิอะห์ถูกสังหารไปกว่า 400 คน โดยที่กว่า 120 คนถูกฆ่าตายในแคว้นบาลูจิสถาน ส่วนใหญ่ที่สุดคือชาวชุมชนฮาซารา รวมตลอดรอบทศวรรษที่ผ่านมา มีชาวฮาซาราถูกปลิดชีวิตไปมากกว่า 1,200 คน

ในสภาพที่การนองเลือดดูเหมือนไม่ยุติลงเสียทีเช่นนี้ รัฐบาลปากีสถานจึงกำลังถูกกดดันหนักให้ต้องใช้มาตรการที่เข้มแข็งจริงจังเพื่อปราบปรามประดากลุ่มสุดโต่งซึ่งเกี่ยวข้องพัวพันกับการเข่นฆ่าชาวฮาซารา ทั้งภาคประชาสังคม, สื่อมวลชน, พรรคการเมืองแนวเสรีนิยม,และนักการศาสนาแนวคิดสายกลาง ของปากีสถาน ต่างแสดงความสนับสนุนอย่างเต็มที่กับการประท้วงที่จัดขึ้นหลายสิบจุดตามเมืองใหญ่ๆ เป็นต้นว่า นครการาจี ที่เป็นเมืองหลวงทางการพาณิชย์ของประเทศ แม้กระทั่งการประท้วงในบางแห่งจะขัดขวางทำให้ไม่อาจดำเนินวิถีชีวิตตามปกติได้ก็ตาม แต่กระนั้นการยืนหยัดอย่างเป็นเอกฉันท์เช่นนี้ก็ยังดูไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติการจากรัฐบาลผู้ตกอยู่ใต้แรงบีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ให้ป้องกันความรุนแรงจากความแตกต่างทางนิกายความเชื่อ

กระทั่งศาลสูงสุดของปากีสถาน เมื่อวันจันทร์ (18 ก.พ.) ยังออกมาแสดงความสนใจเป็นพิเศษ ด้วยการริเริ่มของศาลเอง (suo moto) เกี่ยวกับเหตุระเบิดที่แควตตา และได้ออกหนังสือบอกกล่าวไปถึงอัยการใหญ่แคว้นบาลูจิสถาน (Balochistan Advocate General) และอัยการสูงสุดของปากีสถาน (Attorney General of Pakistan) ขอให้พวกเขามาปรากฏตัวในศาลสูงสุดเพื่อให้ปากคำ ทั้งนี้ศาลสูงสุดถือว่ารัฐบาลกลางของปากีสถานต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความล้มเหลวที่ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุระเบิดที่ทำให้ผู้คนล้มตายในวันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ได้

คณะผู้พิพากษาจำนวน 3 คนของศาลสูงสุดที่นำโดยตัวประธานศาลสูงสุด อิฟติคาร์ มูฮัมหมัด เชาธรี (Iftikhar Muhammad Chaudhry) ได้ออกมาชี้ในวันอังคาร (19ก.พ.) ว่า ในเมื่อ นาวับ อัสลัม ไรซานี อดีตมุขมนตรีแคว้นบาลูจิสถานที่ถูกปลด ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุโจมตีชุมชนฮาซาราครั้งก่อนเมื่อเดือนมกราคม แล้วทำไมนายกรัฐมนตรีของประเทศและผู้ว่าการแคว้นบาลูจิสถานซึ่งแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี จึงไม่สมควรที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับความล้มเหลวในการป้องกันเหตุการณ์คราวล่าสุด

ในวันอังคาร (19ก.พ.) นั้นเอง นายกรัฐมนตรี ราจา เปอร์เวซ อัชรัฟ ผู้เผชิญความยุ่งยากนานารุมเร้า ได้ออกคำสั่งให้กองกำลังความมั่นคงเปิดการปฏิบัติการเจาะจงต่อเป้าหมายต่างๆ ในเมืองแควตตา และระหว่างการปฏิบัติการที่มีขึ้นในวันอังคารในบริเวณย่านชานเมืองแควตตานั้นเอง กองกำลังความมั่นคงได้สังหารชาย 4 คนที่ถุกระบุว่าเป็นคนของกลุ่มลัชคาร์-อี-จังวี รวมทั้งจับกุมบุคคลอื่นๆ อีก 7 คน โดย 1 ในจำนวนนี้ถูกระบุว่าเป็นตัวการใหญ่ของการโจมตีในวันเสาร์ที่ 16 ก.พ.

อย่างไรก็ดี ยังคงมีคำถามผุดขึ้นมาว่า ทำไมการปฏิบัติการต่อเป้าหมายที่ถูกระบุตัวไว้แล้วเหล่านี้ จึงไม่กระทำกันในทันทีภายหลังเกิดการโจมตีด้วยระเบิด 2 ครั้งซ้อนมุ่งเล่นงานชาวฮาซารารอบแรกในคืนวันที่ 10 มกราคม นี่หมายความว่ารัฐบาลจะทำอะไรกันจริงจังก็ต่อเมื่อถูกกดดันบีบคั้นจนหน้าเขียวเสียก่อนกระนั้นหรือ

สิ่งที่จะสามารถหยุดยั้งความรุนแรงที่กระทำกับชาวฮาซาราได้อย่างแท้จริง ก็คือเจตนารมณ์ทางการเมืองอันแน่วแน่ของรัฐบาลที่จะสถาปนาอำนาจบังคับของตน ในยามที่ต้องเผชิญกับความพยศดื้อรั้นขององค์กรหัวรุนแรงต่างๆ เขตสวัต (Swat) ซึ่งเป็นที่มั่นเดิมของพวกตอลิบาน ในแคว้นไคเบอร์ปัคตุนควา (Khyber Pakhtunkhwa) ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ถือเป็นความท้าทายที่ยากลำบากกว่าที่เมืองแควตตามากมายนัก แต่กองทัพปากีสถานก็เปิดฉากการรุกใหญ่ทางการทหารอันเด็ดขาดต่อพวกนักรบหัวรุนแรงในปี 2009 และประสบความสำเร็จในการกวาดล้างพื้นที่ดังกล่าวให้ปลอดจากพวกตอลิบาน ซึ่งต้องตัดสินใจหลบหนีละทิ้งที่มั่นเดิมไป

พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของภาครัฐ ประสบความล้มเหลวอย่างโจ๋งครึ่มในการพิทักษ์คุ้มครองชาวชิอะห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนชาวฮาซารา มิให้ตกเป็นเหยื่อของพวกสุดโต่งอิสลามิสต์ ทั้งนี้มีชาวชิอะห์ฮาซาราจำนวนมากกว่าครึ่งล้านคนพำนักอาศัยกันอยู่ในเมืองแควตตา ชาวฮาซารานั้นเป็นพวกที่อพยพมาจากอัฟกานิสถานเมื่อ 1 ศตวรรษที่แล้ว และตั้งหลักปักฐานกันอยู่ในบาลูจิสถาน เนื่องจากชาวฮาซาราพูดภาษาเปอร์เซีย และสามารถระบุชี้ตัวได้อย่างง่ายดายจากหน้าตาท่าทางในแบบคนตุรกี ซึ่งแตกต่างจากชาวปากีสถานทั่วๆ ไป ด้วยเหตุนี้เองในกรณีที่เกิดขึ้นจำนวนมาก พวกเขาจึงถูกคัดแยกตัวออกมาจากผู้โดยสารรถประจำทางคนอื่นๆ และถูกสั่งให้เข้าแถวจากนั้นก็ถูกยิงทิ้งอย่างทารุณ

การตกเป็นเหยื่อไม่หยุดไม่หย่อนทำให้ในหมู่ชาวฮาซาราบังเกิดความรู้สึกถึงความไม่มั่นคงและความอ่อนแออย่างชนิดเรื้อรัง พวกเขาต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยแม้กระทั่งภายในย่านชุมชนของพวกเขาเอง และบอกว่าพวกเขาเสมือนกำลังตกอยู่ใต้การโอบล้อมโจมตีตลอดเวลา

มูร์ตาซา ไฮเดอร์ (Murtaza Haider) บล็อกเกอร์ในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ดอว์น (Dawn.com) เขียนเอาไว้ดังนี้:

“ภายใน 2 เดือนแรกต่อเนื่องกันของปีนี้ ได้เกิดเหตุโจมตีด้วยระเบิดซึ่งเข่นฆ่าสังหารชาวชิอะห์ฮาซาราไปหลายร้อยคนในเมืองแควตตา เมืองที่เป็นเสมือนป้อมค่ายเพราะทุกตรอกซอยทุกถนนล้วนแต่มีสายของหน่วยข่าวกรองประจำอยู่ กระนั้นพวกหัวรุนแรงก็ยังคงสามารถออกปฏิบัติการอย่างย่ามใจโดยไม่ถูกนำตัวมาลงโทษ เหตุการณ์ระเบิดในวันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ ซึ่งสังหารผู้คนไปกว่า 80 คนและบาดเจ็บอีกเป็นเรือนร้อย เกิดขึ้นเกือบจะภายในเวลาแค่ 1 เดือนหลังเหตุการณ์ระเบิดครั้งสุดท้ายซึ่งทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงกว่านั้นอีก ในสุสานของชาวชิอะห์ในแควตตา พื้นที่สำหรับฝังศพกำลังหมดไปอย่างรวดเร็วมาก มันอาจจะถึงเวลาแล้วกระมังที่ชาวชิอะห์จะต้องโยกย้ายถิ่นฐานเพื่อเป็นการพิทักษ์คุ้มครองคนรุ่นต่อไปของพวกเขา”

ไซเอด ฟาซล์-อี-ไฮเดอร์ ( www.syedfazlehaider.com ) เป็นนักวิเคราะห์ทางด้านการพัฒนาในปากีสถาน เขาเขียนหนังสือเอาไว้หลายเล่ม เป็นต้นว่าเรื่อง The Economic Development of Balochistan ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม 2004 สามารถติดต่อเขาทางอีเมลได้ที่ sfazlehaider05@yahoo.com
(อ่านต่อตอน 2 ซึ่งเป็นตอนจบ)
กำลังโหลดความคิดเห็น