รอยเตอร์/เอเอฟพี - รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศ วันนี้ (29) ว่าต้องการเพิ่มจำนวนประชากรอีกราว 30% ภายใน 20 ปีข้างหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจของประเทศ ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย จะยังขับเคลื่อนไปได้ โดยจำนวนถึงเกือบครึ่งหนึ่งอาจเป็นชาวต่างชาติ
รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศนโยบายการขยายตัวของจำนวนประชากรจาก 5.3 ล้านคนในขณะนี้ เป็น 6.5-6.9 ล้านคนภายในปี 2030 โดยการโน้มน้าวให้พลเมืองมีลูกมากขึ้น และมอบสัญชาติให้กับผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพต่างๆ ชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นด้วย
นโยบายดังกล่าว ซึ่งออกโดยสำนักงานประชากรและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (เอ็นพีทีดี) ระบุว่า จำนวนชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบครึ่งของประชากรทั้งหมดในเวลานั้น ส่วนพลเมืองชาวสิงคโปร์จะลดลงเหลือ 55% จาก 62% เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2012
"หลายๆ เมืองในเอเชียเจริญอย่างรวดเร็ว และไล่ตามเรามา" รัฐบาลระบุ " สิงคโปร์จะต้องเดินหน้าพัฒนา และปรับปรุงเพื่อคงความเป็นศูนย์กลางสำคัญของเครือข่ายเมืองต่างๆ ทั่วโลก อันเป็นสถานที่มีชีวิตชีวา ซึ่งมีการจ้างงาน และโอกาสดีๆ เกิดขึ้น"
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวเรียกกระแสความไม่พอใจในโลกออนไลน์จากพลเมืองอย่างมาก บางรายถึงขั้นเอ่ยว่า ถึงเวลาของการอพยพออกนอกประเทศกันแล้ว
"เอกสารนโยบายจากรัฐบาลฉบับนี้เป็นการทรยศต่อชาวสิงคโปร์โดยกำเนิด" แมค ลี โพสต์แสดงความเห็นในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ สเตรทไทมส์
"ผมคิดว่า แผนการอพยพย้ายถิ่่นสำหรับชาวสิงคโปร์ควรเริ่มต้นในเร็วๆ นี้ สิงคโปร์กำลังสูญเสียความเป็นประเทศไปอย่างช้าๆ" เชน โกะห์ทวีต
การประกาศนโยบายนี้ออกมาเพียงไม่กี่วันหลังจากพรรครัฐบาล พีเพิล แอคชัน ปาร์ตี้ (พีเอพี) เพิ่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อม ท่ามกลางความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นของประชาชนเกี่ยวกับมูลค่าอสังหาริมทรัพย์สูง และการแย่งงานกันทำ ซึ่งพวกเขาโทษว่าเป็นเพราะนโยบายรับคนเข้าเมืองอย่างเสรีของรัฐบาล
ทั้งนี้ สิงคโปร์มีพื้นที่เพียง 714 ตารางกิโลเมตร ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกรุงลอนดอน โดยมีจำนวนประชากร 5.3 ล้านคน เป็นชาวต่างชาติน้อยกว่า 40% ขึ้นมาจาก 25% เมื่อปี 2000