xs
xsm
sm
md
lg

ชะตากรรมของ'ชาวฮาซารา'ในปากีสถาน

เผยแพร่:   โดย: โซฟีน เอบราฮิม

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Pakistan's Hazaras killed and cornered
By Zofeen Ebrahim
15/01/2013

มีผู้ถูกสังหารไปกว่า 100 คนในเหตุการณ์รุนแรงซึ่งเกิดขึ้นในแคว้นบาลูจิสถาน ของปากีสถานเมื่อปีที่แล้ว ทว่าเฉพาะในคืนวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมาเพียงคืนเดียว มีผู้ถูกปลิดชีพไปมากกว่านั้นเสียอีก พวกเขาถูกฆ่าเนื่องจากชาติพันธุ์ของพวกเขา และเนื่องจากความขัดแย้งซึ่งมีมายาวนานระหว่างชุมชนชาวฮาซาราที่เป็นมุสลิมนิกายชิอะห์เหล่านี้ กับชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ เมื่อที่ทางสำหรับชนกลุ่มน้อยกำลังหดลดลงมาเรื่อยๆ ในจำนวนชาวฮาซารา 600,000 คนซึ่งพำนักอาศัยอยู่ในปากีสถาน จึงมีมากกว่า 25,000 คนทีเดียวที่อพยพหลบภัยไปอยู่ที่อื่นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และพวกที่ยังเหลืออยู่ก็กำลังถูกต้อนให้อยู่ในมุมอับมากขึ้นทุกที

การาจี, ปากีสถาน – “ฉันต้องการความยุติธรรม” ชูเครีย จามาลี (Shukria Jamali) หญิงสาววัย 20 ปี กล่าว “แต่ฉันก็ไม่ต้องการให้ศัตรูของฉันแม้แต่คนที่ร้ายกาจที่สุด ต้องเจอความรู้สึกเจ็บปวดอย่างสาหัสสากรรจ์เหมือนกับที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้เลย”

คู่หมั้นของ ชูเครีย จามาลี ที่มีชื่อว่า นาดีร์ ฮุสเซน (Nadir Hussain) ตำรวจหนุ่มอายุ 24 ปี ต้องเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ในคืนวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา และก็กลายเป็นคนหนึ่งที่ถูกฆ่าในเหตุการณ์ระเบิดต่อเนื่องซึ่งเกิดขึ้นในคืนนั้นที่เมืองแควตตา (Quetta) เมืองหลวงของแคว้นบาลูจิสถาน (Balochistan Province) ประเทศปากีสถาน นอกจากนั้นยังมีอีกกว่า 150 คนที่ได้รับบาดเจ็บ ตลอดทั้งปี 2012 ที่ผ่านมา มีผู้ที่ถูกสังหารไปด้วยเหตุรุนแรงในแคว้นบาลูจิสถานเป็นจำนวนทั้งสิ้น 108 คน แต่เฉพาะในคืนวันที่ 10 มกราคมคืนเดียว มีผู้เสียชีวิตไป 115 คน

ในคืนรุ่งขึ้นหลังเหตุการณ์เข่นฆ่านองเลือดคราวนั้น ชูเครีย จามาลี นั่งอยู่ในที่ชุมนุมประท้วงพร้อมกับคนอื่นๆ อีกเป็นพันๆ มีทั้งผู้ชาย, ผู้หญิง, และเด็กๆ พวกเขาและเธอต่างก็ปฏิเสธยังไม่ยอมนำเอาศพของผู้เป็นที่รักของพวกเขาไปฝัง “บางทีมันอาจจะเป็นคืนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของฉันก็ได้ พวกเราทั้งสู้กับสายฝนและทั้งสู้กับสายลมหนาวยะเยือกในขณะที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศา ยังคงนั่งกันอย่างไม่ท้อถอยอยู่ข้างๆหีบศพ” เธอเล่าให้สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส (Inter Press Service หรือ IPS) ฟังผ่านทางโทรศัพท์จากเมืองแควตตา

ผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนในชุมชนชาวฮาซารานับถือศาสนาอิสลามนิกายชิอะห์ (Shi'ite Hazara) ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยพวกหนึ่งในปากีสถาน ชุมชนนี้มีจำนวนรวมกันไม่ถึง 600,000 คนจากประชากรทั่วทั้งประเทศปากีสถานที่มีอยู่ราว 180 ล้านคน องค์กรหัวรุนแรงของมุสลิมนิกายสุหนี่ (Sunni) ที่ใช้ชื่อว่า ลัชคาร์-อี-จังวี (Lashkar-e-Jhangvi หรือ LeJ) ซึ่งมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับพวกตอลิบานปากีสถาน (เตห์ริค-อี-ตอลิบาน Tehrik-e-Taliban) และถูกรัฐบาลปากีสถานประกาศเป็นพวกนอกกฎหมายไปตั้งแต่เมื่อปี 2001 ได้ออกมาแถลงยืนยันว่าเป็นตัวการก่อการเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมคราวนี้

ในคืนดังกล่าว มือระเบิดฆ่าตัวตายผู้หนึ่งได้เข้าโจมตีสโมสรสนุ๊กเกอร์แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนอาลัมดาร์ (Alamdar Road) ย่านที่ผู้พำนักอาศัยส่วนใหญ่คือชาวฮาซารา หลังจากนั้นไม่กี่นาที ระเบิดรถยนต์ (คาร์บอมบ์) คันหนึ่งก็ถูกจุดระเบิดขึ้น ในขณะที่พวกเจ้าหน้ากู้ภัยและสื่อมวลชนไปถึงยังที่เกิดเหตุ

ช่างเหมือนกับการนำเอาประวัติศาสตร์มาฉายซ้ำอีกคำรบหนึ่ง ชาวฮาซารากำลังถูกรังควาญเข่นฆ่าอีกแล้ว คราวนี้ในปากีสถาน เนื่องจากชาติพันธุ์ของพวกเขาและเนื่องจากประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้งที่พวกเขามีอยู่กับชาวมุสลิมสุหนี่

ชาวชิอะห์นั้นมีจำนวนประมาณ 20% ของประชากร 180 ล้านคนของปากีสถาน และถูกโจมตีเป็นประจำ โดยเฉพาะจากกลุ่ม LeJ ทว่าผู้ก่อเหตุเหล่านี้มักไม่ถูกลงโทษอะไร ยิ่งสำหรับชาวฮาซาราแล้ว พวกเขาตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีบ่อยครั้งที่สุด เพราะรูปร่างหน้าตาของพวกเขาที่สามารถจดจำได้ง่ายจากการมีลักษณะแบบชาวมองโกลหลายๆ ส่วน ซึ่งแตกต่างไปจากชุมชนชาวชิอะห์อื่นๆ

ชาวฮาซาราซึ่งมีอยู่ทั่วโลกประมาณ 8 ถึง 10 ล้านคน ส่วนใหญ่พำนักอาศัยกันอยู่ในอัฟกานิสถาน ทว่าเมื่อราว 120 ปีที่ผ่านมา จำนวนมากหลบหนีออกจากประเทศนั้นภายหลังถูกรังควาญเข่นฆ่าจากชาวปัชตุน (Pashtun) เผ่าต่างๆ ที่เป็นสุหนี่และเป็นประชากรส่วนใหญ่ในอัฟกานิสถาน ครั้นเมื่อมาอยู่ในปากีสถานแล้ว ในตอนแรกๆ พวกเขาได้รับการต้อนรับเป็นอันดี และบางคนกระทั่งมีความเจริญก้าวหน้าได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญๆ ในคณะรัฐบาล

แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ที่ทางและหนทางสำหรับชนกลุ่มน้อยต่างๆ ก็กำลังหดแคบลงไปเรื่อยๆ พวกที่มีการศึกษาและมีฐานะดีในชุมชนชาวฮาซารา จึงหลบหนีไปตั้งถิ่นฐานทางยุโรปและออสเตรเลีย ในระยะเวลาประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา มีชาวฮาซาราหลบหนีออกจากปากีสถานไปมากกว่า 25,000 คน

โศกนาฏกรรมเหล่านี้ได้สร้างความลำบากทุกข์ยากแสนสาหัสให้แก่ผู้หญิงชาวฮาซารา “ในตรอกที่ผมอยู่ มีครอบครัวชาวฮาซาราอื่นๆ อีก 4 ครอบครัว ของผมเป็นเพียงครอบครัวเดียวที่ยังมีผู้ชายอยู่ ในครอบครัวอื่นๆ น่ะ ผู้ชายถ้าไม่อพยพไปอยู่ที่อื่นก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว” ดาวูด ชันเกซี (Dawood Changezi) ซึ่งทำงานบริหารองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) แห่งหนึ่ง บอกกับไอพีเอส

ทัช ฟาอิซ (Taj Faiz) ผู้บริหารองค์การการกุศล โชฮาดา (Shohada Welfare Organization) ก็เล่าให้ ไอพีเอส ฟังว่า ในจำนวนครัวเรือนประมาณ 500 ครัวเรือนที่องค์การการกุศลของเธอกำลังให้ความสนับสนุนอยู่ ปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นครัวเรือนที่มีผู้หญิงเป็นหัวหน้าครอบครัว

องค์การการกุศลอีกแห่งหนึ่งที่มีนามว่า มูลนิธิ นิมโซ (Nimso Foundation) จัดตั้งขึ้นในปี 2012 นี้เอง โดย “วัตถุประสงค์หลักของเราคือการทำให้มั่นใจว่า เด็กๆ ลูกหลานของผู้ที่ถูกเข่นฆ่าไม่ควรที่จะเลิกเล่าเรียนเลิกศึกษาไป” ศาสตราจารย์ อับดุลเลาะห์ โมฮัมมาดี (Abdullah Mohammadi) ประธานองค์การแห่งนี้ เล่าให้ ไอพีเอส ฟังจากแควตตาผ่านทางโทรศัพท์เช่นกัน

จามาลี บอกว่าคู่หมั้นของเธอเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวในครอบครัวของเขาที่ออกไปทำงานหาเลี้ยงคนทั้งบ้าน เนื่องจากพ่อของเขาป่วยกระเสาะกระแสะ “ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้ใครจะดูแลพวกเขา พ่อฉันเองก็ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน ส่วนน้องๆ ของฉันต่างก็อายุน้อยกว่าฉันทั้งนั้น”

แต่แม้กระทั่งตามบ้านซึ่งยังมีผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว พวกเขาก็มักไม่ได้ออกไปทำงานนอกบ้าน “คนที่มีฐานะดีมีธุรกิจใหญ่ๆ ที่นี่ ต่างก็ถูกบีบบังคับให้ต้องขายทรัพย์สมบัติ หลังจากที่พวกเขาถูกข่มขู่ว่าจะถูกลักพาตัว” ชันเกซี บอก

อัลตัฟ ซัฟดารี (Altaf Safdari) ซึ่งเป็นผู้บริหารช่องโทรทัศน์ชุมชนที่มีชื่อว่า เมชิด (Mechid) บอกกับ ไอพีเอส ว่า พวกที่ทำงานด้านวิชาชีพซึ่งอยู่ในชุมชนของเขา ส่วนใหญ่แล้วถูกบีบบังคับให้ต้องย้ายออกจากที่อยู่เดิมแล้วมาพำนักอาศัยกันที่ถนนอาลัมดาร์ และแถวๆ ฮาซารา ทาวน์ (Hazara Town) ของแควตตา

“ยิ่งในช่วงหลายๆ เดือนหลังมานี้ด้วยแล้ว ทั้งทนายความ, หมอ, ครูอาจารย์, และกระทั่งข้าราชการ ต่างก็ไม่สามารถออกจากบ้านของพวกเขาได้เลย เพราะกลัวว่าจะถูกฆ่า” ซัฟดารี บอก “สำหรับพวกข้าราชการน่ะ หลายคนเลยผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้พวกเขาลาพักยาว โดยพวกเขายังได้เงินเดือนกันอยู่ แต่สำหรับพวกที่ไม่ได้โชคดีถึงขนาดนั้น และต้องไปทำงานกันนอกแควตตาออกไป ก็จำเป็นต้องออกจากงานกันเลย”

รุคซานา อาเหม็ด (Rukhsana Ahmed) เลขาธิการองค์การสตรี ของพรรคประชาชนปากีสถาน (พีพีพี) ที่เป็นแกนนำคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน เล่าว่า ระหว่างที่เธอเดินทางไปสุสานของนครแควตตาซึ่งเป็นที่ฝังศพสามีของเธอ ผู้เป็นเหยื่อคนหนึ่งของการสังหารเข่นฆ่าด้วยสาเหตุทางชาติพันธุ์ในปี 2009 นั้น หลายต่อหลายเที่ยวทีเดียวเธอได้เห็น “พวกผู้หญิงซึ่งใช้ผ้าคลุมศีรษะและใบหน้า กำลังนั่งกันอยู่ตามถนน ร้องขอทาน” เธอบอกว่าเรื่องนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ เพราะชาวฮาซาราไม่เคยขอทานกันมาก่อน ไม่ว่าพวกเขาจะลำบากยากแค้นกันขนาดไหนก็ตาม

“ชุมชนจะเข้ามาร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือ และมีหลายๆ บ้านที่คนในบ้านแบ่งอาหารจัดส่งไปให้อย่างเงียบๆ ไม่มีเอิกเกริก แต่เมื่อระดับความยากจนกำลังพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างน่าตกใจเช่นนี้ ฉันรู้สึกตัวสั่นผวาเลยเมื่อคิดถึงสิ่งที่ผู้หญิงซึ่งตกอยู่ในท่ามกลางความสิ้นหวังอาจจะต้องยอมทำ

“ภรรยาของพ่อค้าตั้งแผงขายผักคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตโดยทิ้งลูกสาวเล็กๆ 5 คนเอาไว้เบื้องหลัง เวลานี้ตั้งแผงขายผักเอาไว้ที่หน้าบ้านของพวกเธอแล้ว นอกจากนั้นมีอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งภรรยา 2 คนของผู้ชายคนหนึ่งต้องเฝ้ารอเงินชดเชยช่วยเหลือจากรัฐบาลมาปีหนึ่งแล้ว หลังจากที่เขาตายไปโดยพบศพของเขาในสภาพที่ไม่มีใบหน้า มีครอบครัวหลายสิบครอบครัวเลยที่มีปากท้องต้องเลี้ยงดูกันครอบครัวละ 8 ถึง 10 ปาก แต่ไม่มีคนที่สามารถออกไปหาเงินหารายได้ แล้วยังมีนักเรียนนักศึกษาหนุ่มสาวที่มุ่งหวังไว้สูงอีกจำนวนมาก ซึ่งต้องเลิกเรียนกันกลางคัน” เธอแจกแจงยกตัวอย่างความทุกข์ยากลำบากในเวลานี้ของครอบครัวชาวฮาซารา

อาเหม็ดเล่าต่อไปว่า “หลังจากรถโดยสารของวิทยาลัยคันหนึ่งซึ่งมีนักศึกษาชาวฮาซารานั่งมาด้วยถูกโจมตี นักศึกษาที่ไม่ใช่ชาวฮาซาราจำนวนมากก็ปฏิเสธไม่ขอนั่งรถคันเดียวกับพวกเขาอีกต่อไป รวมทั้งรถโดยสารจำนวนมากก็ปฏิเสธไม่ยอมให้พวกเขาขึ้นรถ เด็กสาวสองสามคนในย่านที่ฉันอยู่ต้องใช้ผ้าคลุมแบบของชาวบาลูจิมาคลุมศีรษะและใบหน้า สวมแว่นกันแดดอันโตๆ และใช้รถสามล้อเป็นพาหนะในการเดินทางไปวิทยาลัย เพราะหวาดกลัวว่าจะถูกจดจำได้ว่าเป็นคนชาวชุมชนนี้”

ทางด้าน อุบดุล คอลิก (Abdul Khaliq) ประธานพรรคประชาธิปไตยฮาซารา (Hazara Democratic Party หรือ HDP) บอกว่า “เราต้องการให้กองทัพเป็นผู้เข้ามาควบคุมเมืองแควตตา เราต้องการให้ฝ่ายทหารเปิดการปฏิบัติการที่พุ่งเป้าปราบปรามพวกหัวรุนแรง และเราต้องการให้ถอดมุขมนตรีออกไป เพราะเราไม่สามารถคาดหวังอะไรจากบุคคลผู้นี้ได้อีกแล้ว”

ถึงแม้ข้อเรียกร้องทั้งหลายของชาวฮาซาราไม่ได้รับการตอบสนองทั้งหมดอย่างครบถ้วน แต่กระนั้นภายหลังการประท้วงไม่ยอมฝังศพเหยื่อเคราะห์ร้ายผ่านไปได้ 3 วัน นายกรัฐมนตรีราจา เปอร์เวซ อัชรัฟ (Raja Pervez Ashraf) ของปากีสถาน ก็ออกคำสั่งยุบเลิกรัฐบาลท้องถิ่นของแคว้น และประกาศใช้อำนาจการปกครองของผู้ว่าการแคว้นในบาลูจิสถาน (หมายเหตุผู้แปล – ปากีสถานแบ่งเขตปกครองเป็น 4 แคว้น และเขตพิเศษอื่นๆ อำนาจการบริหารปกครองภายในแคว้นแต่ละแคว้น เป็นของ มุขมนตรี chief minister ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันก็มี ผู้ว่าการแคว้น governor ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรีของประเทศ ทำหน้าที่เป็นประมุขของแคว้น ทว่าถือเป็นตำแหน่งเกียรติยศ อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็จะมีการถอดมุขมนตรีและยุบสภานิติบัญญัติแห่งแคว้น แล้วผู้ว่าการแคว้นเข้าเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารปกครองแทน –ข้อมูลจาก Wikipedia)

ชันเกซี พยายามตัดเก็บรวบรวมข่าวหนังสือพิมพ์ซึ่งพูดถึงเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นในชุมชนของเขาทุกๆ ครั้งนับตั้งแต่เกิดเหตุครั้งแรกในปี 1998 เขาบอกว่า นับตั้งแต่คราวนั้นมา มีคนมากกว่า 800 คนในชุมชนของเขาที่ถูกสังหารจากเหตุโจมตีครั้งต่างๆ

“ตั้งแต่เหตุโจมตีชาวฮาซาราเริ่มต้นขึ้นเมื่อราว 20 ปีก่อน ปรากฏว่าไม่มีใครถูกตั้งข้อหาดำเนินคดีเลยแม้แต่คนเดียว รัฐบาลและกองทัพต่างรู้กันดีว่าพวกหัวรุนแรงโผล่ออกมาก่อเหตุจากที่ไหนและมีที่หลบซ่อนอยู่ตรงไหน แต่แล้วทำไมมันจึงลำบากยากเย็นเหลือเกินสำหรับพวกเขาที่จะจับกุมพวกคนร้ายเหล่านี้?” เป็นคำถามของ คอลิก แห่งพรรค HDP

(สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส)
กำลังโหลดความคิดเห็น