xs
xsm
sm
md
lg

ปิดฉากยึดโรงก๊าซในแอลจีเรีย มีตัวประกันตายไปอย่างน้อย 25 คน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพที่ถ่ายจากวิดีโอซึ่งเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ของแอลจีเรีย แสดงให้เห็นพวกตัวประกันพากันยกมือขึ้นฟ้า ในโรงงานก๊าซธรรมชาติที่ใกล้ๆ เมืองอิน อามีนัส วิดีโอนี้ถ่ายไว้ในช่วงประมาณวันที่ 16 หรือไม่ก็ 17 มกราคมที่ผ่านมา
เอเจนซีส์ - กองกำลังของรัฐบาลแอลจีเรียพบศพชาวต่างประเทศ 25 ศพเมื่อวันอาทิตย์ (20) จากการตรวจค้นทั่วโรงงานก๊าซธรรมชาติที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายสะฮารา ภายหลังบุกเข้าไปช่วยเหลือตัวประกันจำนวนหลายร้อยคนซึ่งมีทั้งที่เป็นคนแอลจีเรียและต่างชาติ จากเงื้อมมือของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง โดยได้ปลิดชีพคนร้ายเหล่านี้ไป 32 คน และจับกุมอีก 11 คน เป็นการปิดฉากอย่างนองเลือดของวิกฤตคราวนี้ซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลา 4 วัน

สถานีโทรทัศน์ภาคเอกชน “เอนนาฮาร์” ของแอลจีเรีย อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของแอลจีเรียหลายรายระบุว่า ทหารได้ค้นพบ “ศพของตัวประกัน 25 คน” ในขณะที่พวกเขากระจายกำลังออกตรวจค้นทั่วพื้นที่อันกว้างขวางของโรงงานก๊าซธรรมชาติ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ เมืองอิน อามีนัส แห่งนี้ เอนนาฮาร์มีชื่อเสียงในเรื่องมีแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือในฝ่ายความมั่นคงของประเทศ

ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีสื่อสาร โมฮาเหม็ด ซาอิด ของแอลจีเรีย ได้บอกกับสถานีวิทยุแห่งหนึ่งว่า เขาเกรงว่าคงจะต้องปรับเพิ่มตัวเลขผู้เสียชีวิตให้สูงขึ้นอีก ภายหลังจากในขณะนั้นได้พบแล้วว่ามีชาวต่างชาติและชาวแอลจีเรียถูกสังหารไปอย่างน้อยที่สุด 23 คน ส่วนใหญ่เป็นตัวประกัน ตลอดช่วงเวลา 4 วันที่เกิดวิกฤต ณ โรงงานก๊าซแห่งนี้ ซึ่งเป็นกิจการที่ร่วมกันดำเนินงานโดยบริษัทบีพี ของอังกฤษ, สแทตออยล์ ของนอร์เวย์ และโซนาตราช ของแอลจีเรีย

รัฐบาลของหลายประเทศต่างพยายามติดตามหาตัวพลเมืองของตนที่ยังสูญหายไป ขณะที่มีรายละเอียดออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวิกฤตตัวประกันคราวนี้

นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษออกคำแถลงกล่าวว่า ทราบแล้วว่ามีบุคคลสัญชาติอังกฤษถูกสังหารไป 3 คน และอีก 3 คนก็เชื่อว่าตายแล้วเช่นกัน เช่นเดียวกับผู้ที่ได้สิทธิพำนักในอังกฤษอีกคนหนึ่ง

ด้านประธานาธิบดีฮวน มานูเอล ซานโตส ของโคลอมเบีย กล่าวว่า เชื่อว่ามีชาวโคลอมเบียผู้หนึ่งที่เป็นพนักงานของบีพี ถูกจับเป็นตัวประกันและถูกสังหารแล้ว

ขณะที่ สแทตออยล์ของนอร์เวย์บอกว่า ยังไม่ทราบชะตากรรมของพนักงานของบริษัทจำนวน 5 คน

ในส่วนของชาวญี่ปุ่น เอเอฟพีอ้างรายงานของสื่อท้องถิ่นที่กล่าวว่า ผู้เห็นเหตุการณ์ชาวแอลจีเรียผู้หนึ่งที่ถูกระบุชื่อว่า บราฮิม กล่าวว่า มีชาวญี่ปุ่นถูกฆ่าตายไปรวม 9 คน โดยที่ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน เจจีซี บริษัทวิศวกรรมญี่ปุ่นได้แถลงว่ามีพนักงานของบริษัทที่เป็นคนญี่ปุ่น 10 คนและต่างชาติอีก 7 คนสูญหายไป

ทางด้านรัฐบาลมาเลเซียบอกว่า พนักงานชาวมาเลเซีย 2 คนที่ทำงานให้เจจีซีและก่อนหน้านี้มีรายงานว่าสูญหายนั้น เวลานี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าเสียชีวิตไป 1 คน อีกคนยังไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

สำหรับฟิลิปปินส์ เมื่อวานนี้มีคนงานนั่งเครื่องบินเดินทางกลับจากแอลจีเรียรวม 39 คน โดยที่ก่อนหน้านั้นโฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า พวกเขาทั้งหมดเป็น “ผู้รอดชีวิต” จากวิกฤตตัวประกันซึ่งมีชาวฟิลิปปินส์ถูกจับไปด้วยรวม 52 คน อย่างไรก็ตาม คนงานที่กลับบ้านเหล่านี้ยืนยันว่า พวกเขาทำงานอยู่อีกโรงงานหนึ่งซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุหลายร้อยกิโลเมตร เพียงแต่บริษัทนายจ้างรีบส่งพวกเขากลับบ้านเพราะเกรงไม่ปลอดภัย

วิกฤตคราวนี้เริ่มต้นขึ้นในวันพุธ (16) เมื่อพวกอิสลามหัวรุนแรงที่อ้างว่าเป็นกลุ่ม “ผู้ลงนามด้วยเลือด” (Signatories in Blood) โจมตีรถโดยสาร 2 คันที่กำลังนำพวกคนงานต่างชาติไปยังโรงงานแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลทรายในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของแอลจีเรีย มีรายงานว่าชาวอังกฤษคนหนึ่งและชาวแอลจีเรียคนหนึ่งถูกฆ่าตายตั้งแต่ตอนนั้น

จากนั้นกองกำลังของพวกหัวรุนแรงก็บุกเข้าไปยึดโรงงานก๊าซธรรมชาติ และจับชาวแอลจีเรียกับคนต่างชาติหลายร้อยคนเป็นประกัน โดยออกคำแถลงเรียกร้องให้ฝรั่งเศสยุติการส่งกองทหารเข้าไปแทรกแซงในประเทศมาลี ทั้งนี้ มีรายงานว่าหัวหน้ากลุ่มติดอาวุธที่ก่อเหตุครั้งนี้ คือ มอคตาร์ เบลมอคตาร์ อดีตหัวหน้านักรบคนหนึ่งของกลุ่มอัลกออิดะห์

ทางด้านแอลจีเรียได้ส่งกองทหารเข้าล้อมโรงงานแห่งนี้อย่างรวดเร็ว และประกาศไม่ยอมเจรจาต่อรองด้วย ต่อมาในวันพฤหัสบดี (17) ได้ส่งกำลังหน่วยรบพิเศษเข้าไปช่วยเหลือตัวประกันเป็นระลอกแรก โดยมีรายงานว่าสามารถช่วยตัวประกันส่วนใหญ่ออกมาได้ พร้อมกับที่มีตัวประกันเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่ง ท่ามกลางเสียงประณามอย่างกว้างขวางว่า แอลจีเรียดำเนินการคราวนี้ด้วยความรีบร้อนเกินไป

ในวันเสาร์ กำลังหน่วยรบพิเศษของแอลจีเรียได้เปิดการโจมตีครั้งสุดท้าย โดยที่กระทรวงมหาดไทยแอลจีเรียแถลงสรุปในวันเดียวกันว่า ผู้ก่อการร้าย 32 คนถูกสังหาร และอีก11 คนถูกจับกุม ในระหว่างการเผชิญหน้ากันที่กินเวลา 72 ชั่วโมง ขณะที่กองทัพสามารถช่วยเหลือพนักงานแอลจีเรีย 685 คนและต่างชาติอีก 107 คนออกมาได้ ส่วนยอดผู้เสียชีวิตและสูญหายขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจน

ถึงแม้มีเสียงประณามปฏิบัติการของแอลจีเรีย ทว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐฯ, ฟรังซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศส ตลอดจนถึงฟิลิป แฮมมอนด์ รัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ ต่างออกมาแก้ต่างให้ว่า การเสียชีวิตของตัวประกันต้องโทษว่าเป็นความผิดของผู้ก่อการร้าย ขณะที่โอบามาสำทับว่า จะประสานงานอย่างใกล้ชิดกับทางการแอลจีเรียเพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อร่วมกันหามาตรการป้องกันโศกนาฏกรรมนี้ในอนาคต

ทางด้านกลุ่มติดตามตรวจสอบ “อินเทลเซนเตอร์” ระบุว่า เหตุการณ์จับตัวประกันครั้งนี้เป็นครั้งใหญ่ที่สุดนับจากเหตุการณ์ปี 2008 ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย และยังเป็นการก่อการครั้งใหญ่ที่สุดของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ภายหลังจากเหตุยึดโรงละครในมอสโก ประเทศรัสเซียเมื่อปี 2002 รวมทั้งการยึดโรงเรียนในเมืองเบสลันของรัสเซียเช่นกันในปี 2004

ถึงแม้กลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้อ้างว่า กระทำการคราวนี้เพื่อตอบโต้ฝรั่งเศส แต่นักวิเคราะห์ต่างเห็นกันว่า การโจมตีอย่างใหญ่โตและวางแผนการกันอย่างดีเช่นนี้ ต้องมีการเตรียมการกันมานานแล้ว ขณะที่กองทหารฝรั่งเศสเพิ่งจะเปิดปฏิบัติการทางทหารในมาลีในเดือนนี้เอง

สำหรับสถานการณ์ในมาลีนั้น ประธานาธิบดีออลลองด์ยืนยันว่า กองทัพฝรั่งเศสจะยังคงอยู่ในมาลีตราบเท่าที่จำเป็นเพื่อปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายในประเทศดังกล่าว ขณะที่ผู้นำของประเทศแถบแอฟริกันตะวันตก เรียกร้องความช่วยเหลือเร่งด่วนจากสหประชาชาติ เพื่อสนับสนุนกองกำลังแห่งภูมิภาคในการสู้รบกับกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงในมาลี
กำลังโหลดความคิดเห็น