xs
xsm
sm
md
lg

ศก.เอเชียจะแซงUS+ยุโรปใน20ปี ส่วนจีนทิ้งสหรัฐฯขึ้นอันดับหนึ่งโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เศรษฐกิจของจีน จะขยับแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นแท่นเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี ค.ศ. 2030 หรือ ไม่ถึง 2 ทศวรรษจากนี้
เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - เศรษฐกิจของจีน จะขยับแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นแท่นเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี ค.ศ. 2030 หรือ ไม่ถึง 2 ทศวรรษจากนี้ ในเวลาเดียวกัน เศรษฐกิจโดยรวมของเอเชีย ก็จะเติบโตจนแซงหน้าเศรษฐกิจของทั้งอเมริกาเหนือและยุโรป ทั้งนี้ เป็นข้อมูลล่าสุดจากรายงานด้านข่าวกรองของสหรัฐฯ ที่มีการเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (10)

รายงานการศึกษาที่มีชื่อว่า “แนวโน้มของโลกปี 2030: หลายโลกแห่งทางเลือก” (Global Trends 2030: Alternative Worlds) และนำออกเผยแพร่โดยสภาข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ ( National Intelligence Council : NIC) องค์กรซึ่งเป็นแขนขาด้านการวิเคราะห์ของ สำนักงานอำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ (DNI) ที่ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่าจีนซึ่งเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกในเวลานี้ จะสามารถแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นมาครองตำแหน่งดินแดนที่มีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกได้ภายในปี2030 หรือในอีก 18 ปีข้างหน้า ในเวลาเดียวกัน เศรษฐกิจของเอเชียที่จะมีการเติบโตจนแซงหน้าอเมริกาเหนือและยุโรป

รายงานฉบับล่าสุดซึ่งเป็นฉบับที่ 5 ในชุดนี้ที่จัดทำขึ้นทุกๆ 4 ปี ยังระบุว่า มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจของยุโรป ญี่ปุ่น รวมถึง รัสเซีย จะชะลอตัวลงอย่างช้าๆ ต่อไป และภาวะเศรษฐกิจโลกในอนาคตจะมีความเชื่อมโยงกับการเติบโตของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มากกว่าที่จะผูกติดอยู่กับการขับเคลื่อนของโลกตะวันตกดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งนั่นหมายความว่า ประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะในเอเชีย จะกลายเป็น “ตัวจักรสำคัญ” ในการขับเคลื่อนและสร้างความเติบโต แทนที่ประเทศร่ำรวยในยุโรปและอเมริกาเหนือที่เป็นฝ่ายกุมบังเหียนเศรษฐกิจโลกมานาน

ในส่วนของอินเดียนั้น แม้จะยังคงตามหลังจีนทางด้านเศรษฐกิจ ทว่า “ช่องว่าง” ระหว่างเศรษฐกิจของจีนกับอินเดียจะลดน้อยลงอย่างสำคัญภายในปี 2030 โดยเมื่อถึงตอนนั้น อินเดียจะมีสถานะที่ไม่แตกต่างจากสถานะของจีนในวันนี้ ที่ถูกมองในฐานะศูนย์กลางใหม่ของอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยมีความเป็นไปได้ที่เมื่อถึงปี 2030 เศรษฐกิจของอินเดียจะสามารถเติบโตได้อย่างร้อนแรงราว 8-10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี สวนทางกับจีนที่จะเริ่มเติบโตได้ช้าลง

อย่างไรก็ดี แมทธิว เบอร์โรวส์ ที่ปรึกษาประจำเอ็นไอซี ระบุระหว่างการแถลงข่าวเปิดตัวรายงานฉบับนี้ว่า แม้จีนจะมีขนาดของเศรษฐกิจแซงหน้าสหรัฐฯในอนาคต แต่สหรัฐฯจะยังคงครองสถานะของการเป็นชาติอภิมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกได้ต่อไป เนื่องจากสหรัฐฯจะยังคงเป็นชาติเดียวในโลกที่มีศักยภาพในการดึงแนวร่วมในประชาคมโลก และขับเคลื่อนความพยายามในการรับมือกับความท้าทายระดับโลกต่างๆ

“จีนไม่มีทางก้าวเข้ามาแทนที่สหรัฐฯในระดับโลกได้ จริงอยู่ที่การเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ แต่มันมิใช่เรื่องจำเป็นเสมอไปที่ชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด จะต้องกลายเป็นอภิมหาอำนาจ ซึ่งรัฐบาลจีนเองก็ตระหนักดีในเรื่องนี้ว่า พวกเขาไม่สามารถแสดงบทบาทในระดับโลกได้เทียบเท่าสหรัฐฯ” เบอร์โรวส์กล่าว

รายงานชุดนี้ซึ่งจัดทำขึ้นด้วยวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อการกระตุ้นเตือน ให้เกิดกระบวนการคิดในเชิงยุทธศาสตร์ในหมู่ผู้มีอำนาจตัดสินใจในรัฐบาลอเมริกัน เพื่อให้สหรัฐฯสามารถวางหมากในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในอนาคตโดยเฉพาะจากจีน ในฉบับล่าสุดนี้ยังชี้ว่า นอกเหนือจากความเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะเคลื่อนตัวไปรวมศูนย์ที่จีนและเอเชียแล้ว การขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมก็จะไหลบ่าไปสู่จีนและเอเชียด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีในช่วง 15-20 ปีข้างหน้าจะส่งผลให้จีน อินเดีย บราซิล และกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่อื่นๆ กลายสภาพเป็นคู่แข่งขันที่น่ากลัวของสหรัฐฯอย่างรวดเร็ว

ในอีกด้านหนึ่ง ผลการศึกษาในรายงานฉบับนี้ยังบ่งชี้ว่า ภายในปี 2030 สหรัฐฯ อาจเผชิญกับภัยคุกคามจากขบวนการก่อการร้ายและพวกอิสลามิสต์น้อยลง แต่การก่อการร้ายนั้นจะยังคงไม่หมดสิ้นไปจากโลก เพียงแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างสำคัญ ซึ่งอาจหมายถึงการที่พวกหัวรุนแรงสามารถเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมาเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ เช่น การทำสงครามไซเบอร์ แทนการโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯด้วยปืนและระเบิดอย่างพวกกลุ่มก่อการร้ายในยุคปัจจุบัน
กำลังโหลดความคิดเห็น