(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Crime pays in Kyrgyzstan
By Chris Rickleton
13/11/2012
ผู้คนในคีร์กีซสถานกำลังสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจในตำรวจ ขณะที่บ้านเมืองก็อยู่ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการประท้วงอย่างรุนแรงตามท้องถนนและการปล้นชิงวิ่งราว ควบคู่ไปกับการขับไล่ไสส่งประธานาธิบดีออกจากตำแหน่งถึง 2 คน เมื่อมองเห็นกันว่าตำรวจที่ช่างทุจริตคอร์รัปชั่นเหลือเกินนั้นไม่สามารถพึ่งพิงได้ พวกเอกชนมีสตางค์และธุรกิจต่างๆ ในประเทศที่เป็นอดีตสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียตทางเอเชียกลางแห่งนี้ จึงต่างหันไปอาศัยบรรดาบริษัทบริการรักษาความปลอดภัยภาคเอกชน ให้มาช่วยสืบสวนคลี่คลายอาชญากรรม ตลอดจนปกป้องคุ้มครองทรัพย์สินของพวกตน
บิชเคก,คีร์กีซสถาน – เช้าวันหนึ่งเมื่อปีที่แล้วในเมืองหลวงบิชเคก ประเทศคีร์กีซสถาน ดิลโนซา (Dilnoza) ตื่นนอนขึ้นมาและค้นพบในไม่เวลาไม่นานว่า รถยนต์โตโยต้า โคโรลลา ใหม่เอี่ยมของเธอได้หายวับไปเสียแล้ว เธอทราบทันทีว่าควรจะโทรศัพท์ติดต่อขอความช่วยเหลือจากใคร มันไม่ใช่สถานีตำรวจเขตท้องที่ของเธอหรอก ดิลโนซา ขอความช่วยเหลือจากบริษัทบริการรักษาความปลอดภัยภาคเอกชนแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าหลังจากใช้ความพากเพียรเป็นเวลา 6 วัน มือทำงานของบริษัทแห่งนั้นก็ติดตามจนพบรถยนต์ของดิลโนซาอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งบริเวณนอกกรุงบิชเคก จากนั้นก็นำรถเก๋งคันดังกล่าวกลับคืนมาให้เธอ เมื่อสอบถามเธอว่าทำไมไม่ไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจ เธอก็ให้คำตอบอันสมเหตุสมผลในทางปฏิบัติ
“ฉันจ่ายเงินให้บริษัทนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีแรงจูงใจที่จะหารถของฉันให้เจอ แต่ตำรวจไม่ได้เป็นอย่างนั้น” ดิลโนซา ซึ่งอยู่ในวัย 33 ปี กล่าว
ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา คีร์กีซสถาน ซึ่งเป็นประเทศในเอเชียกลางที่เคยเป็นอดีตสาธารณรัฐอยู่ในสหภาพโซเวียต ได้พบเห็นประธานาธิบดี 2 คนถูกขับไล่ไสส่งออกจากตำแหน่งท่ามกลางการประท้วงอย่างรุนแรงตามท้องถนน และการปล้นชิงวิ่งราวกันอย่างกว้างขวาง สถานการณ์บ้านเมืองที่ไร้ความสงบเช่นนี้ เมื่อบวกกับการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีอยู่ทั่วไป ความไว้เนื้อเชื่อใจในตำรวจของสาธารณชนจึงอยู่ในภาวะตกต่ำสุดๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ที่พวกเอกชนมีสตางค์และธุรกิจต่างๆ จำนวนเพิ่มขึ้นทุกที กำลังพากันหันไปพึ่งพิงอาศัยพวกบริษัทรักษาความปลอดภัยภาคเอกชน ให้มาช่วยปกป้องคุ้มครองทรัพย์สิน ตลอดจนช่วยสืบเสาะคลี่คลายอาชญกรรมต่างๆ
ตัวเลขข้อมูลที่ได้รับการยืนยันรับรองจากเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยผู้หนึ่งระบุว่า ปัจจุบันในคีร์กีซสถานมีบริษัทของภาคเอกชนรวมแล้วมากกว่า 400 แห่งซึ่งได้รับใบอนุญาตให้พกอาวุธปืน และให้บริการรักษาความปลอดภัย โดยที่มีราวๆ 30 แห่งให้บริการความคุ้มครองแบบเต็มเวลาตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่ชั่วครั้งชั่วคราว
บริษัทพวกนี้จำนวนมาก รวมทั้งแห่งที่ว่าจ้างโดย ดิลโนซา ผู้ซึ่งพูดถึงความเป็นอยู่ของตัวเธอเองว่า “มีฐานะทางเศรษฐกิจที่อยู่ได้อย่างสุขสบาย” ต่างปฏิเสธไม่ยอมพูดคุยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของพวกเขา และด้วยการยืนกรานรบเร้าของบริษัทแห่งดังกล่าว ตัวดิลโนซาเองก็ไม่ยอมให้เปิดเผยนามสกุลของเธอในรายงานข่าวชิ้นนี้
ในบรรดาบริษัทให้บริการรักษาความปลอดภัยที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงบิชเคก และมีการดำเนินงานอย่างคึกคักนั้น 13 แห่งเป็นสมาชิกของสหภาพบริษัทรักษาความปลอดภัย (Union of Security Agencies) ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดการพบปะเป็นประจำกับพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อหารือพูดจากันเกี่ยวกับประเด็นทางด้านความปลอดภัยต่างๆ ทว่าตามคำบอกเล่าของ วลาดิมีร์ เบสซาราบอฟ (Vladimir Bessarabov) ประธานบริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทนักสืบและรักษาความปลอดภัยภาคเอกชนที่ชื่อ บาร์ราคูดา (Barracuda) ถึงแม้มีพวกเจ้าหน้าที่จากกระทรวงมหาดไทย (ตำรวจคีร์กีซสถานสังกัดอยู่กับกระทรวงมหาดไทย) เข้าร่วมการพบปะหารือเหล่านี้ แต่แท้ที่จริงแล้วมีการร่วมมือประสานงานกันน้อยมากๆ ในระหว่างภาคเอกชนกับพวกหน่วยงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยของภาครัฐ “ตำรวจมองพวกเราว่าเป็นคู่แข่งของพวกเขา” เบสซาราบอฟ บอกกับเว็บไซต์ยูเรเชียเน็ต (EurasiaNet.org.)
การที่ตำรวจเห็นเช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอยู่หรอก เบสซาราบอฟกล่าวเพิ่มเติม บริษัทของเขาเองนั้นเติบโตขึ้นมาจากที่มีลูกจ้าง 30 คนในตอนเริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2004 จนในเวลานี้กลายเป็นกิจการที่มีพนักงาน 200 คนแล้ว โดยทำหน้าที่ดูแลให้บริการทั้งแก่เอกชนและบริษัทต่างๆ ลูกค้ารายหนึ่งของเขาคือบริษัทผู้บรรจุขวดของ โคคา-โคลา ในคีร์กีซสถาน เขาเล่าว่าทางพวกตำรวจก็มีการเสนอให้บริการรับจ้างรักษาความปลอดภัยเหมือนกัน ทว่าการ์ดของบริษัทเอกชนจะได้ค่าจ้างเงินเดือนดีกว่าและได้รับความเชื่อถือว่าเป็นมืออาชีพมากกว่าตำรวจ
พวกกิจการที่เป็นสมาชิกอยู่ในสหภาพบริษัทรักษาความปลอดภัย จะจัดส่งลูกจ้างไปรับการฝึกอบรมในหลักสูตร ซึ่งดำเนินการโดย ดอร์ดอย ซีเคียวริตีส์ (Dordoi Securities) หนึ่งในบริษัทเอกชนประเภทนี้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยที่มีลูกจ้างอยู่ถึงราวๆ 800 คน ในหลักสูตรดังกล่าวนี้ พนักงานของบริษัทรักษาความปลอดภัยจะต้องผ่านการทดสอบทางจิตวิทยา และผ่านการฝึกอบรมเรื่องการปฐมพยาบาล และการใช้อาวุธต่างๆ
ในทางตรงกันข้าม โรงเรียนตำรวจของคีร์กีซสถาน กลับมีชื่อฉาวโฉ่ในเรื่องการเป็นแหล่งฉ้อราษฎรบังหลวง นอกจากนั้นรายงานข่าวเรื่องเกิดการทะเลาะวิวาทกันในงานเลี้ยงฉลองจบการศึกษาของทางโรงเรียนเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา ก็เป็นสิ่งกัดกร่อนชื่อเสียงเกียรติคุณด้านความเป็นมืออาชีพของสถาบันแห่งนี้
“พวกเราเองพยายามหลีกเลี่ยงไม่ว่าจ้างคนที่มาจากกระทรวงมหาดไทย เพราะตำรวจที่นี่มีนิสัยแย่ๆ เยอะแยะไปหมด” เบสซาราบอฟอธิบายแจกแจงต่อ “พวกตำรวจขึ้นชื่อเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น และความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับการให้บริการของพวกเขา ก็ไม่สอดคล้องไม่ได้อยู่ในระดับของผลงานที่ผมเรียกร้องต้องการจากคนของผม”
ชาวเมืองบิสเคกจำนวนมากต่างรู้สึกกันว่า ตำรวจที่นี่สนอกสนใจแต่กับการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของพวกตนไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว แทนที่จะหาทางส่งเสริมเพิ่มพูนความปลอดภัยของสาธารณชน
โอมูร์เบก ซูวานาลิเยฟ (Omurbek Suvanaliyev) เป็นตำรวจอาชีพที่ครั้งหนึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในยุคของประธานาธิบดีคูร์มานเบก บาคิเยฟ (Kurmanbek Bakiyev) ที่เป็น 1 ในประธานาธิบดีซึ่งถูกขับออกจากอำนาจ เขายอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าในปัจจุบันกำลังตำรวจที่อยู่ในอาการเสียขวัญหมดกำลังใจ ไม่ได้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของสาธารณชนแล้ว
“ประชาชนต่างเข้าใจว่าพวกหน่วยงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทั้งหลาย มีขึ้นมาเพื่อเอาไว้พิทักษ์คุ้มครองประมุขแห่งรัฐตลอดจนพวกนักการเมืองระดับสูงคนอื่นๆ เท่านั้น” เขาบอกกับ EurasiaNet.org. “พวกเขา (ตำรวจ) ไม่ทำหน้าที่ในการคุ้มครองป้องกันประชาชนกันแล้ว”
กระนั้นก็ตามที ซูวานาลิเยฟโต้แย้งว่า การที่พวกกิจการนักสืบและรักษาความปลอดภัยของภาคเอกชนกำลังเติบโตเฟื่องฟู โดยที่บริษัทเหล่านี้ไม่ได้มีสายการบังคับบัญชาแบบรวมศูนย์อะไรทั้งนั้น เป็นภาวะที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง เขายืนยันว่า บริษัทรักษาความปลอดภัยแบบนี้อาจจะถูกใช้ไปเพื่อปิดบังอำพรางการประกอบอาชญกรรมได้ง่ายๆ
“พวกเราเคยปฏิเสธไม่ยอมออกใบอนุญาตให้แก่คนที่พวกเราพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของสาธารณชน” ซูวานาลิเยฟ บอก เขาเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจกรุงบิชเคกอยู่ถึง 2 ครั้ง 2 หน และเวลานี้หันมาแสดงตนเป็นนักการเมืองฝ่ายค้าน “แต่ในตอนหลัง ทางครอบครัวบาคิเยฟกลับเริ่มออกใบอนุญาตจัดตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยให้แก่ทุกๆ คน รวมทั้งพวกแก๊งอาชญากรที่มีสายสัมพันธ์กับพวกเขา ตลอดจนพวกค้ายาเสพติด”
พวกลูกค้าเฉกเช่น ดิลโนซา จึงต้องตัดสินใจเลือกเอาระหว่างการใช้บริษัทเอกชนซึ่งเบื้องหลังอาจจะเป็นแก๊งอาชญากร หรือไม่ก็พึ่งพิงตำรวจที่พร้อมจะเอ่ยขอสินบนกันอย่างตรงไปตรงมา “ตำรวจก็คือโจรดีๆ นี่เอง พวกเราเจออย่างนี้กันอยู่ทุกวี่ทุกวัน” เธอบอก
ในฐานะที่เธอเป็นชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ส่วนน้อยในคีร์กีซสถาน อีกทั้งไม่ได้มีเส้นสายอะไรในกองกำลังตำรวจเลย ดิลโนซาจึงรู้สึกด้วยว่าตำรวจตอบสนองอย่างย่ำแย่กว่าพวกบริษัทเอกชนมากในเวลาที่ไปขอความช่วยเหลือ “มันต้องคิดกันในแง่มุมที่ว่า คุณสามารถที่จะจ่ายได้ขนาดไหน และใครจะสามารถคุ้มครองผลประโยชน์ของคุณได้ดีกว่า” เธอกล่าว
คริส ริกเคิลตัน เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่พำนักอยู่ในกรุงบิชเคก
(รายงานข่าวนี้เริ่มแรกเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ Eurasianet.org. แล้วสำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส Inter Press Service นำมาเผยแพร่ต่อ)
Crime pays in Kyrgyzstan
By Chris Rickleton
13/11/2012
ผู้คนในคีร์กีซสถานกำลังสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจในตำรวจ ขณะที่บ้านเมืองก็อยู่ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการประท้วงอย่างรุนแรงตามท้องถนนและการปล้นชิงวิ่งราว ควบคู่ไปกับการขับไล่ไสส่งประธานาธิบดีออกจากตำแหน่งถึง 2 คน เมื่อมองเห็นกันว่าตำรวจที่ช่างทุจริตคอร์รัปชั่นเหลือเกินนั้นไม่สามารถพึ่งพิงได้ พวกเอกชนมีสตางค์และธุรกิจต่างๆ ในประเทศที่เป็นอดีตสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียตทางเอเชียกลางแห่งนี้ จึงต่างหันไปอาศัยบรรดาบริษัทบริการรักษาความปลอดภัยภาคเอกชน ให้มาช่วยสืบสวนคลี่คลายอาชญากรรม ตลอดจนปกป้องคุ้มครองทรัพย์สินของพวกตน
บิชเคก,คีร์กีซสถาน – เช้าวันหนึ่งเมื่อปีที่แล้วในเมืองหลวงบิชเคก ประเทศคีร์กีซสถาน ดิลโนซา (Dilnoza) ตื่นนอนขึ้นมาและค้นพบในไม่เวลาไม่นานว่า รถยนต์โตโยต้า โคโรลลา ใหม่เอี่ยมของเธอได้หายวับไปเสียแล้ว เธอทราบทันทีว่าควรจะโทรศัพท์ติดต่อขอความช่วยเหลือจากใคร มันไม่ใช่สถานีตำรวจเขตท้องที่ของเธอหรอก ดิลโนซา ขอความช่วยเหลือจากบริษัทบริการรักษาความปลอดภัยภาคเอกชนแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าหลังจากใช้ความพากเพียรเป็นเวลา 6 วัน มือทำงานของบริษัทแห่งนั้นก็ติดตามจนพบรถยนต์ของดิลโนซาอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งบริเวณนอกกรุงบิชเคก จากนั้นก็นำรถเก๋งคันดังกล่าวกลับคืนมาให้เธอ เมื่อสอบถามเธอว่าทำไมไม่ไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจ เธอก็ให้คำตอบอันสมเหตุสมผลในทางปฏิบัติ
“ฉันจ่ายเงินให้บริษัทนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีแรงจูงใจที่จะหารถของฉันให้เจอ แต่ตำรวจไม่ได้เป็นอย่างนั้น” ดิลโนซา ซึ่งอยู่ในวัย 33 ปี กล่าว
ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา คีร์กีซสถาน ซึ่งเป็นประเทศในเอเชียกลางที่เคยเป็นอดีตสาธารณรัฐอยู่ในสหภาพโซเวียต ได้พบเห็นประธานาธิบดี 2 คนถูกขับไล่ไสส่งออกจากตำแหน่งท่ามกลางการประท้วงอย่างรุนแรงตามท้องถนน และการปล้นชิงวิ่งราวกันอย่างกว้างขวาง สถานการณ์บ้านเมืองที่ไร้ความสงบเช่นนี้ เมื่อบวกกับการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีอยู่ทั่วไป ความไว้เนื้อเชื่อใจในตำรวจของสาธารณชนจึงอยู่ในภาวะตกต่ำสุดๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ที่พวกเอกชนมีสตางค์และธุรกิจต่างๆ จำนวนเพิ่มขึ้นทุกที กำลังพากันหันไปพึ่งพิงอาศัยพวกบริษัทรักษาความปลอดภัยภาคเอกชน ให้มาช่วยปกป้องคุ้มครองทรัพย์สิน ตลอดจนช่วยสืบเสาะคลี่คลายอาชญกรรมต่างๆ
ตัวเลขข้อมูลที่ได้รับการยืนยันรับรองจากเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยผู้หนึ่งระบุว่า ปัจจุบันในคีร์กีซสถานมีบริษัทของภาคเอกชนรวมแล้วมากกว่า 400 แห่งซึ่งได้รับใบอนุญาตให้พกอาวุธปืน และให้บริการรักษาความปลอดภัย โดยที่มีราวๆ 30 แห่งให้บริการความคุ้มครองแบบเต็มเวลาตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่ชั่วครั้งชั่วคราว
บริษัทพวกนี้จำนวนมาก รวมทั้งแห่งที่ว่าจ้างโดย ดิลโนซา ผู้ซึ่งพูดถึงความเป็นอยู่ของตัวเธอเองว่า “มีฐานะทางเศรษฐกิจที่อยู่ได้อย่างสุขสบาย” ต่างปฏิเสธไม่ยอมพูดคุยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของพวกเขา และด้วยการยืนกรานรบเร้าของบริษัทแห่งดังกล่าว ตัวดิลโนซาเองก็ไม่ยอมให้เปิดเผยนามสกุลของเธอในรายงานข่าวชิ้นนี้
ในบรรดาบริษัทให้บริการรักษาความปลอดภัยที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงบิชเคก และมีการดำเนินงานอย่างคึกคักนั้น 13 แห่งเป็นสมาชิกของสหภาพบริษัทรักษาความปลอดภัย (Union of Security Agencies) ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดการพบปะเป็นประจำกับพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อหารือพูดจากันเกี่ยวกับประเด็นทางด้านความปลอดภัยต่างๆ ทว่าตามคำบอกเล่าของ วลาดิมีร์ เบสซาราบอฟ (Vladimir Bessarabov) ประธานบริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทนักสืบและรักษาความปลอดภัยภาคเอกชนที่ชื่อ บาร์ราคูดา (Barracuda) ถึงแม้มีพวกเจ้าหน้าที่จากกระทรวงมหาดไทย (ตำรวจคีร์กีซสถานสังกัดอยู่กับกระทรวงมหาดไทย) เข้าร่วมการพบปะหารือเหล่านี้ แต่แท้ที่จริงแล้วมีการร่วมมือประสานงานกันน้อยมากๆ ในระหว่างภาคเอกชนกับพวกหน่วยงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยของภาครัฐ “ตำรวจมองพวกเราว่าเป็นคู่แข่งของพวกเขา” เบสซาราบอฟ บอกกับเว็บไซต์ยูเรเชียเน็ต (EurasiaNet.org.)
การที่ตำรวจเห็นเช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอยู่หรอก เบสซาราบอฟกล่าวเพิ่มเติม บริษัทของเขาเองนั้นเติบโตขึ้นมาจากที่มีลูกจ้าง 30 คนในตอนเริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2004 จนในเวลานี้กลายเป็นกิจการที่มีพนักงาน 200 คนแล้ว โดยทำหน้าที่ดูแลให้บริการทั้งแก่เอกชนและบริษัทต่างๆ ลูกค้ารายหนึ่งของเขาคือบริษัทผู้บรรจุขวดของ โคคา-โคลา ในคีร์กีซสถาน เขาเล่าว่าทางพวกตำรวจก็มีการเสนอให้บริการรับจ้างรักษาความปลอดภัยเหมือนกัน ทว่าการ์ดของบริษัทเอกชนจะได้ค่าจ้างเงินเดือนดีกว่าและได้รับความเชื่อถือว่าเป็นมืออาชีพมากกว่าตำรวจ
พวกกิจการที่เป็นสมาชิกอยู่ในสหภาพบริษัทรักษาความปลอดภัย จะจัดส่งลูกจ้างไปรับการฝึกอบรมในหลักสูตร ซึ่งดำเนินการโดย ดอร์ดอย ซีเคียวริตีส์ (Dordoi Securities) หนึ่งในบริษัทเอกชนประเภทนี้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยที่มีลูกจ้างอยู่ถึงราวๆ 800 คน ในหลักสูตรดังกล่าวนี้ พนักงานของบริษัทรักษาความปลอดภัยจะต้องผ่านการทดสอบทางจิตวิทยา และผ่านการฝึกอบรมเรื่องการปฐมพยาบาล และการใช้อาวุธต่างๆ
ในทางตรงกันข้าม โรงเรียนตำรวจของคีร์กีซสถาน กลับมีชื่อฉาวโฉ่ในเรื่องการเป็นแหล่งฉ้อราษฎรบังหลวง นอกจากนั้นรายงานข่าวเรื่องเกิดการทะเลาะวิวาทกันในงานเลี้ยงฉลองจบการศึกษาของทางโรงเรียนเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา ก็เป็นสิ่งกัดกร่อนชื่อเสียงเกียรติคุณด้านความเป็นมืออาชีพของสถาบันแห่งนี้
“พวกเราเองพยายามหลีกเลี่ยงไม่ว่าจ้างคนที่มาจากกระทรวงมหาดไทย เพราะตำรวจที่นี่มีนิสัยแย่ๆ เยอะแยะไปหมด” เบสซาราบอฟอธิบายแจกแจงต่อ “พวกตำรวจขึ้นชื่อเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น และความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับการให้บริการของพวกเขา ก็ไม่สอดคล้องไม่ได้อยู่ในระดับของผลงานที่ผมเรียกร้องต้องการจากคนของผม”
ชาวเมืองบิสเคกจำนวนมากต่างรู้สึกกันว่า ตำรวจที่นี่สนอกสนใจแต่กับการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของพวกตนไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว แทนที่จะหาทางส่งเสริมเพิ่มพูนความปลอดภัยของสาธารณชน
โอมูร์เบก ซูวานาลิเยฟ (Omurbek Suvanaliyev) เป็นตำรวจอาชีพที่ครั้งหนึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในยุคของประธานาธิบดีคูร์มานเบก บาคิเยฟ (Kurmanbek Bakiyev) ที่เป็น 1 ในประธานาธิบดีซึ่งถูกขับออกจากอำนาจ เขายอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าในปัจจุบันกำลังตำรวจที่อยู่ในอาการเสียขวัญหมดกำลังใจ ไม่ได้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของสาธารณชนแล้ว
“ประชาชนต่างเข้าใจว่าพวกหน่วยงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทั้งหลาย มีขึ้นมาเพื่อเอาไว้พิทักษ์คุ้มครองประมุขแห่งรัฐตลอดจนพวกนักการเมืองระดับสูงคนอื่นๆ เท่านั้น” เขาบอกกับ EurasiaNet.org. “พวกเขา (ตำรวจ) ไม่ทำหน้าที่ในการคุ้มครองป้องกันประชาชนกันแล้ว”
กระนั้นก็ตามที ซูวานาลิเยฟโต้แย้งว่า การที่พวกกิจการนักสืบและรักษาความปลอดภัยของภาคเอกชนกำลังเติบโตเฟื่องฟู โดยที่บริษัทเหล่านี้ไม่ได้มีสายการบังคับบัญชาแบบรวมศูนย์อะไรทั้งนั้น เป็นภาวะที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง เขายืนยันว่า บริษัทรักษาความปลอดภัยแบบนี้อาจจะถูกใช้ไปเพื่อปิดบังอำพรางการประกอบอาชญกรรมได้ง่ายๆ
“พวกเราเคยปฏิเสธไม่ยอมออกใบอนุญาตให้แก่คนที่พวกเราพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของสาธารณชน” ซูวานาลิเยฟ บอก เขาเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจกรุงบิชเคกอยู่ถึง 2 ครั้ง 2 หน และเวลานี้หันมาแสดงตนเป็นนักการเมืองฝ่ายค้าน “แต่ในตอนหลัง ทางครอบครัวบาคิเยฟกลับเริ่มออกใบอนุญาตจัดตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยให้แก่ทุกๆ คน รวมทั้งพวกแก๊งอาชญากรที่มีสายสัมพันธ์กับพวกเขา ตลอดจนพวกค้ายาเสพติด”
พวกลูกค้าเฉกเช่น ดิลโนซา จึงต้องตัดสินใจเลือกเอาระหว่างการใช้บริษัทเอกชนซึ่งเบื้องหลังอาจจะเป็นแก๊งอาชญากร หรือไม่ก็พึ่งพิงตำรวจที่พร้อมจะเอ่ยขอสินบนกันอย่างตรงไปตรงมา “ตำรวจก็คือโจรดีๆ นี่เอง พวกเราเจออย่างนี้กันอยู่ทุกวี่ทุกวัน” เธอบอก
ในฐานะที่เธอเป็นชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ส่วนน้อยในคีร์กีซสถาน อีกทั้งไม่ได้มีเส้นสายอะไรในกองกำลังตำรวจเลย ดิลโนซาจึงรู้สึกด้วยว่าตำรวจตอบสนองอย่างย่ำแย่กว่าพวกบริษัทเอกชนมากในเวลาที่ไปขอความช่วยเหลือ “มันต้องคิดกันในแง่มุมที่ว่า คุณสามารถที่จะจ่ายได้ขนาดไหน และใครจะสามารถคุ้มครองผลประโยชน์ของคุณได้ดีกว่า” เธอกล่าว
คริส ริกเคิลตัน เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่พำนักอยู่ในกรุงบิชเคก
(รายงานข่าวนี้เริ่มแรกเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ Eurasianet.org. แล้วสำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส Inter Press Service นำมาเผยแพร่ต่อ)