มาร์เก็ตวอตช์ - หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลเผย ขณะที่ราคาขายส่งเมล็ดกาแฟในปีที่ผ่านมานั้นตกลงเกือบ 1 ใน 3 ทว่า ผู้เชี่ยวชาญกลับไม่คิดว่าจะส่งผลใดๆ กับราคาขายปลีกกาแฟ 1 แก้ว นอกเสียจากจะขึ้นราคาเท่านั้น โดยเฉพาะสำหรับร้านเครื่องดื่มชื่อดังอย่าง สตาร์บัคส์
รายงานตรวจสอบตลาดโภคภัณฑ์ของธนาคารโลกฉบับล่าสุดเผยว่า ราคากาแฟอาราบิกาในเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น ตกลง 3% จากเดือนก่อนหน้า และร่วงลงถึง 30% จากราคา 2.48 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ในปีที่แล้ว
สาเหตุหลักคือ ปริมาณการผลิตกาแฟในโคลอมเบีย และอเมริกากลาง อันเป็นแหล่งผลิตกาแฟสำหรับตลาดอเมริกานั้น มีเป็นจำนวนมาก ส่วนผู้ปลูกกาแฟในบราซิล ซึ่งผลิตกาแฟถึง 1 ใน 3 ของโลกก็คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟทำสถิติได้ถึง 6.6 พันล้านปอนด์ในปี 2012 นี้ด้วย
ขณะที่บริษัทกาแฟ คอฟฟีชอป และบริการเดลิเวอร์รี มักขึ้นราคาสินค้า โดยแทบจะไม่เคยปรับราคาลงเลย เช่น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สตาร์บัคส์เพิ่งขึ้นราคาเครื่องดื่มหลายชนิดราว 1% ในพื้นที่แถบนอร์ทอีสต์ และซันเบลท์ รวมถึงนิวยอร์ก บอสตัน แอตแลนตา และดัลลัส หลังจากเพิ่งอัพราคากาแฟถุงไป 17% เมื่อปี 2011
วอลล์สตรีทเจอร์นัลระบุว่า บริษัทสตาร์บัคส์ไม่ได้หั่นราคาลง แม้ราคาขายส่งกาแฟจะลดลงก็ตาม
ส่วน บริษัทเจ.เอ็ม.สมัคเกอร์ ซึ่งขายกาแฟให้กับดังกิน โดนัท และโฟลเกอร์ส ปรับลดราคากาแฟลง 6% ในเดือนพฤษภาคม ทว่า ก่อนหน้านี้ทางบริษัทได้ขึ้นราคาไปถึง 23% ในปี 2011 ขณะที่ร้านของชำส่วนใหญ่ก็ขึ้นราคาขายปลีกกาแฟเช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ชาวอเมริกันมีแนวโน้มไม่ใส่ใจราคากาแฟ ไม่เหมือนที่อ่อนไหวต่อราคาน้ำมัน และแม้ว่าต้นทุนด้านวัตถุดิบจะลดลง แต่เชนร้านกาแฟต่างๆ ก็ยังคงจะคิดราคาเครื่องดื่มของตนเท่าเดิม หรือไม่ก็เพิ่มขึ้น เนื่องจากหลายบริษัท อย่าง สตาร์บัคส์สามารถเปลี่ยนผลผลิตราคาต่ำให้เป็นสินค้าระดับพรีเมียมได้
"เวลานี้ สตาร์บัคส์เป็น 1 ในแบรนด์ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศ" แจ็ค รัสโซ นักวิเคราะห์ลูกค้าของเอ็ดเวิร์ด โจนส์กล่าว โดยว่า "เมื่อคุณมีสินค้าพรีเมียม คุณก็สามารถคิดราคาระดับพรีเมียมได้"
อย่างไรก็ตาม โฆษกของสตาร์บัคส์ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเมื่อถูกถามถึงกรณีที่ว่าบริษัทจะปรับลดราคาเครื่องดื่มของตนหรือไม่