เอเจนซี - เศรษฐกิจจีนในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายนปีนี้ยังคงชะลอตัว นับเป็นการเติบโตช้าลงอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 อีกทั้งเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกที่อัตราโตต่ำกว่าเป้าหมายของทางการ กระนั้นก็ตาม ข้อมูลอื่นๆ ที่ออกมาพร้อมๆ กันเมื่อวันพฤหัสบดี (18) บ่งชี้ว่า การทรุดตัวน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้วและจีดีพีแดนมังกรจะฟื้นตัวขึ้นไปเล็กน้อยในช่วงปลายปีนี้
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (เอ็นบีเอส) ของทางการจีนรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัวในอัตรา 7.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว สอดคล้องกับการคาดการณ์ของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ในการสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์
ขณะเดียวกัน ข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เผยแพร่ในคราวเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุน ต่างอยู่สูงกว่าคาดเล็กน้อย โดยที่ตัวเลขจีดีพีเองก็มีการเติบโตที่เข้มแข็งขึ้นด้วยหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เหล่านี้ล้วนแต่บ่งชี้ว่าสถานการณ์เลวร้ายอาจจะลงมาจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว และระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกแห่งนี้จะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังจากที่การเปลี่ยนตัวคณะผู้นำชุดใหม่ของแดนมังกรซึ่งกระทำกันทุกๆ รอบ 10 ปีดำเนินไปอย่างราบรื่น
นอกจากนี้ เซิง ไล้หยุน โฆษกเอ็นบีเอสยังรายงานว่า เมื่อรวมตลอด 9 เดือนแรกของปีนี้จีดีพีสามารถเติบโตในอัตรา 7.7% สะท้อนว่าเศรษฐกิจแดนมังกรตลอดปีนี้อาจจะโตได้ตามเป้าหรือกระทั่งสูงกว่าเป้าหมายที่ทางการตั้งไว้ที่ 7.5%
แม้อัตราเติบโต 7.4% ของไตรมาสเดือนกรกฎาคม-กันยายน อาจเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับพวกประเทศพัฒนาแล้วซึ่งต่างกำลังคืบคลานเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่สำหรับจีนกลับหมายถึงการชะลอตัวรุนแรง เมื่อพิจารณาจากอัตราขยายตัวในปีที่ผ่านมาซึ่งสูงถึง 9.2% และตลอด 30 ปีมานี้อัตราเติบโตต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ราว 10%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจตัวอื่นๆ ปรากฏว่าการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรระหว่างเดือนมกราคม-กันยายนเพิ่มขึ้น 20.5% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว สูงกว่าการคาดการณ์เฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ 20.2% แต่ยังต่ำกว่าอัตราขยายตัวเกือบตลอดปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 25% โดยประมาณ
ทางด้านการบริโภคก็รุดหน้าเช่นกัน โดยยอดค้าปลีกประจำเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 14.2% จากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา มากกว่าที่คาดไว้ ณ 13.2%
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกันยายนขยายตัว 9.2% เทียบกับ 8.9% ในเดือนสิงหาคม
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลต่อธุรกิจอื่นๆ อีก 40 แขนง เป็นส่วนที่นักเศรษฐศาสตร์ยังไม่มั่นใจ โดยมีอัตราเติบโต 15.4% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ จาก 15.6% ในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม
ในส่วนอัตราเติบโตของจีดีพี ไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 จะสูงขึ้นมา 2.2% หรือหากคำนวณเป็นอัตราเติบโตต่อปีก็จะอยู่ในระดับ 8.8% ทีเดียว ซึ่งมากเกินคาดหมายของพวกนักวิเคราะห์ ทั้งนี้ในไตรมาส 2 อัตราเติบโตของจีดีพีไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ก็เพิ่มขึ้น 1.8% ซึ่งเป็นระดับที่พวกนักลงทุนคาดหมายว่าจะคงอยู่เช่นนี้อย่างสม่ำเสมอไปอีกระยะหนึ่ง
ปักกิ่งนั้นได้ลดเป้าหมายอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของตนตลอดทั้งปีนี้ลงมาอยู่ที่ 7.5% จากที่เคยกำหนดไว้ที่ 8%
อย่างไรก็ตาม สื่อจีนรายงานคำพูดของนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ซึ่งกล่าวเมื่อวันพุธ (17) ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาส 3 ปีนี้ค่อนข้างดี และรัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้สำหรับปี 2012 นี้ได้
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ชี้ว่า มีหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การใช้นโยบายการเงินแบบเปิดกว้างพร้อมอัดฉีดสภาพคล่อง ตลอดจนนโยบายปรับตัวในด้านอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปักกิ่งพยายามกระทำอยู่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ นั้น ในเวลานี้กำลังผลิดอกออกผลอย่างน่าพอใจแล้ว
นโยบายการเงินดังกล่าวมีดังเช่น ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง, ลดอัตราส่วนเงินทุนซึ่งกำหนดให้พวกแบงก์พาณิชย์ต้องฝากไว้กับแบงก์ชาติรวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง ซึ่งเท่ากับทำให้มีเงินที่ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นราว 1.2 ล้านล้านหยวน (190,000 ล้านดอลลาร์) นอกจากนั้นรัฐบาลจีนยังได้อนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ คิดเป็นมูลค่า 157,000 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนที่แล้วอีกด้วย
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (เอ็นบีเอส) ของทางการจีนรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัวในอัตรา 7.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว สอดคล้องกับการคาดการณ์ของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ในการสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์
ขณะเดียวกัน ข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เผยแพร่ในคราวเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุน ต่างอยู่สูงกว่าคาดเล็กน้อย โดยที่ตัวเลขจีดีพีเองก็มีการเติบโตที่เข้มแข็งขึ้นด้วยหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เหล่านี้ล้วนแต่บ่งชี้ว่าสถานการณ์เลวร้ายอาจจะลงมาจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว และระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกแห่งนี้จะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังจากที่การเปลี่ยนตัวคณะผู้นำชุดใหม่ของแดนมังกรซึ่งกระทำกันทุกๆ รอบ 10 ปีดำเนินไปอย่างราบรื่น
นอกจากนี้ เซิง ไล้หยุน โฆษกเอ็นบีเอสยังรายงานว่า เมื่อรวมตลอด 9 เดือนแรกของปีนี้จีดีพีสามารถเติบโตในอัตรา 7.7% สะท้อนว่าเศรษฐกิจแดนมังกรตลอดปีนี้อาจจะโตได้ตามเป้าหรือกระทั่งสูงกว่าเป้าหมายที่ทางการตั้งไว้ที่ 7.5%
แม้อัตราเติบโต 7.4% ของไตรมาสเดือนกรกฎาคม-กันยายน อาจเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับพวกประเทศพัฒนาแล้วซึ่งต่างกำลังคืบคลานเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่สำหรับจีนกลับหมายถึงการชะลอตัวรุนแรง เมื่อพิจารณาจากอัตราขยายตัวในปีที่ผ่านมาซึ่งสูงถึง 9.2% และตลอด 30 ปีมานี้อัตราเติบโตต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ราว 10%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจตัวอื่นๆ ปรากฏว่าการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรระหว่างเดือนมกราคม-กันยายนเพิ่มขึ้น 20.5% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว สูงกว่าการคาดการณ์เฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ 20.2% แต่ยังต่ำกว่าอัตราขยายตัวเกือบตลอดปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 25% โดยประมาณ
ทางด้านการบริโภคก็รุดหน้าเช่นกัน โดยยอดค้าปลีกประจำเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 14.2% จากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา มากกว่าที่คาดไว้ ณ 13.2%
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกันยายนขยายตัว 9.2% เทียบกับ 8.9% ในเดือนสิงหาคม
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลต่อธุรกิจอื่นๆ อีก 40 แขนง เป็นส่วนที่นักเศรษฐศาสตร์ยังไม่มั่นใจ โดยมีอัตราเติบโต 15.4% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ จาก 15.6% ในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม
ในส่วนอัตราเติบโตของจีดีพี ไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 จะสูงขึ้นมา 2.2% หรือหากคำนวณเป็นอัตราเติบโตต่อปีก็จะอยู่ในระดับ 8.8% ทีเดียว ซึ่งมากเกินคาดหมายของพวกนักวิเคราะห์ ทั้งนี้ในไตรมาส 2 อัตราเติบโตของจีดีพีไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ก็เพิ่มขึ้น 1.8% ซึ่งเป็นระดับที่พวกนักลงทุนคาดหมายว่าจะคงอยู่เช่นนี้อย่างสม่ำเสมอไปอีกระยะหนึ่ง
ปักกิ่งนั้นได้ลดเป้าหมายอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของตนตลอดทั้งปีนี้ลงมาอยู่ที่ 7.5% จากที่เคยกำหนดไว้ที่ 8%
อย่างไรก็ตาม สื่อจีนรายงานคำพูดของนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ซึ่งกล่าวเมื่อวันพุธ (17) ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาส 3 ปีนี้ค่อนข้างดี และรัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้สำหรับปี 2012 นี้ได้
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ชี้ว่า มีหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การใช้นโยบายการเงินแบบเปิดกว้างพร้อมอัดฉีดสภาพคล่อง ตลอดจนนโยบายปรับตัวในด้านอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปักกิ่งพยายามกระทำอยู่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ นั้น ในเวลานี้กำลังผลิดอกออกผลอย่างน่าพอใจแล้ว
นโยบายการเงินดังกล่าวมีดังเช่น ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง, ลดอัตราส่วนเงินทุนซึ่งกำหนดให้พวกแบงก์พาณิชย์ต้องฝากไว้กับแบงก์ชาติรวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง ซึ่งเท่ากับทำให้มีเงินที่ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นราว 1.2 ล้านล้านหยวน (190,000 ล้านดอลลาร์) นอกจากนั้นรัฐบาลจีนยังได้อนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ คิดเป็นมูลค่า 157,000 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนที่แล้วอีกด้วย