เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ประชาชนชาวสเปนหลายหมื่นคน ร่วมเดินขบวนใน 56 เมืองทั่วประเทศเมื่อวันอาทิตย์ (7) ที่ผ่านมา รวมถึงกรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดสุดโหด ที่รัฐบาลแดนกระทิงดุนำมาบังคับใช้ โดยกลุ่มผู้ประท้วงต่างเชื่อว่ายิ่งมาตรการรัดเข็มขัดของทางการมีความเข้มงวดมากขึ้นเพียงใด จำนวนผู้ว่างงานในประเทศก็ยิ่งเพิ่มจำนวนสูงขึ้นตามไปด้วย
รายงานข่าวระบุว่า เฉพาะที่กรุงมาดริดเพียงแห่งเดียว จำนวนผู้ที่ออกมาร่วมเดินขบวนต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลตามท้องถนนสายต่างๆ มีจำนวนกว่า 20,000 คน โดยมีการถือป้ายประท้วงซึ่งมีข้อความว่า “มาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลกำลังทำให้ประเทศสเปนย่อยยับ” รวมถึงป้ายที่มีข้อความว่า “เราต้องหยุดพวกเขา” และ “ คนหนุ่มสาวของเราไม่มีงานทำ” เป็นต้น
การนัดแสดงพลังของประชาชนเพื่อเดินขบวนประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรภาคธุรกิจเอกชน และสมาคมวิชาชีพต่างๆกว่า 150 แห่งของสเปน โดยการแสดงพลังครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่สเปนซึ่งได้ชื่อว่ามีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของกลุ่มยูโรโซน และเป็นลำดับที่ 5 ของสหภาพยุโรป (อียู) ต้องเผชิญกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจเป็นหนที่ 2 ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ขณะที่อัตราว่างงานในภาพรวมของประเทศพุ่งสูงเกือบร้อยละ 25 และอัตราการว่างงานในหมู่คนหนุ่มสาวพุ่งสูงเกินกว่าร้อยละ 50
กลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมากเชื่อว่า รัฐบาลสเปนกำลังแก้ปัญหาด้วยการนำมาตรการรัดเข็มขัดที่เข้มงวดมาใช้ในการตัดลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ระบบบริการสุขภาพ และเงินบำนาญของประชาชน เพื่อหวังประคับประคองภาคธนาคารของประเทศและนายทุนทั้งหลายที่กำลังร่อแร่ โดยรัฐบาลไม่ใส่ใจผลกระทบทางสังคมที่จะเกิดขึ้นกับชนชั้นแรงงานและประชาชนในระดับล่างของประเทศที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
ด้านอิกนาซิโอ เฟร์นันเดซ โตโซ โฆษกสหภาพแรงงานขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของสเปน ออกมาเปิดเผยว่า การออกมาเดินขบวนครั้งนี้เป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของการประท้วงใหญ่ที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งคาดว่าอาจเกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ เพื่อกดดันให้รัฐบาลสเปนของนายกรัฐมนตรีมาเรียโน ราฮอย เบรอี ที่ก้าวเข้ามาครองอำนาจเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วยอมยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดต่างๆ